อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม เทรดวันแรกเหนือจอง 3.10 บาท จากราคา IPO ที่หุ้นละ 5.20 บาท หรือเพิ่มขึ้น 3.10 บาท คิดเป็น 59.62% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 3,130.60 ล้าน ที่ปรึกษาการเงินเชื่อนักลงทุนเชื่อมั่นในพื้่นฐานของ ITEL ด้านผู้บริหารแจงบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานแกร่ง และแนวโน้มรายได้เติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืนจากนโยบายของภาครัฐหนุนโทรคมนาคมโต
วานนี้ (13 ก.ย.) หุ้นของ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม หรือ ITEL เข้าซื้อขายเป็นวันแรกโดยเมื่อเปิดตลาดพบว่าราคาหุ้นอยู่ที่ 7.50 บาท ระหว่างวันปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 8.35 บาท ต่ำสุดที่ 7.50 บาท เมื่อปิดตลาดพบว่าราคาหุ้นอยู่ที่ 8.30 บาท เพิ่มขึ้น 3.10 บาท จากราคา IPO ที่ 5.20 บาท คิดเป็น 59.62% มูลค่าซื้อขาย 3,130.60 ล้านบาท
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และแกนนำผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL กล่าวว่า มีความพอใจกับราคาหุ้น ITEL ซื้อขายวันแรกสูงกว่าราคาจอง เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานของ ITEL และสามารถให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนได้เกือบ 50% แม้ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นผันผวน และปรับตัวลดลงแรงจากความกังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ขณะที่บทวิเคราะห์ของ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินมูลค่าเหมาะสมของ ITEL ปี 60 ที่ 7.80 บาท (DCF) คาดกำไรปีนี้เพิ่มขึ้น 135% และโตต่อเฉลี่ย 47% ต่อปีในปี 60-62 ซึ่ง ITEL เป็นผู้ให้บริการเช่าโครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง มีโครงข่ายครอบคลุม 75 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งตามแนวเส้นทางรถไฟ และเส้นถนน ซึ่งทำให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และให้บริการติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม และให้บริการ Data center ลูกค้ากระจายอยู่ในกลุ่มธุรกิจให้บริการโทรคมฯ ธุรกิจถ่ายทอดวิทยุโทรทัศน์ ภาครัฐ และเอกชน ITEL ผ่านช่วงลงทุนหนักทั้งโครงข่ายหลัก และ Data center ไปแล้ว หลังจากนี้เหลือเพียงลงทุน Last mile ขยายวงจรเช่าและ Data center แห่งที่ 2 (ร่วมทุนกับ AIT และ WHA)
นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ ITEL กล่าวว่า การที่ราคาหุ้น ITEL ที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรกวันนี้ยืนเหนือจอง เนื่องจากบริษัทมีพื้นฐานแข็งแกร่ง และแนวโน้มรายได้เติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน จากนโยบายของภาครัฐ และของบริษัทฯ ที่เน้นดำเนินธุรกิจด้านโทรคมนาคม โดยตั้งเป้ารายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะมีรายได้โตเฉลี่ยปีละ 40-60% เนื่องจากการหาลูกค้าใหม่ และลูกค้าเดิมยังมีการใช้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมผ่านโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก และการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่งานรับเหมายังคงมีงานอย่างต่อเนื่อง
โดยบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรมาเลเซีย เพื่อร่วมกันให้บริการเครือข่ายไฟเบอร์ออฟติก ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปไม่เกินสิ้นปีนี้ และจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทเข้ามาในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนไฟเบอร์ออฟติกครอบคลุม 75 จังหวัดแล้ว ซึ่งสามารถรองรับการใช้บริการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม อีกทั้งบริษัทยังเตรียมหาลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มเติม โดยบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ในอนาคตจะมาจากรายได้ประจำ คือ การให้บริการไฟเบอร์ออฟติก และดาต้าเซ็นเตอร์ในสัดส่วน 70-80% สัดส่วนรายได้จากงานรับเหมา 20-30% จากในปีนี้ที่มีสัดส่วนรายได้ประจำอยู่ที่ 60-70% และรายได้รับเหมาอยู่ที่ 30-40%
ทั้งนี้ บริษัทยังมั่นใจว่า รายได้ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 436 ล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 354 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าในปีนี้อัตรากำไรสุทธิ และอัตรากำไรขั้นต้นจะสูงกว่าครึ่งปีแรกที่อยู่ในระดับ 10.11% และ 29% ตามลำดับ เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทไม่มีการลงทุนใหม่ และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี