ผลิตภัณฑ์ตราเพชร ประเมินผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังปัจจัยกำลังซื้อในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดีขึ้น แถมวางหมากรุกงานราชการเพิ่มยอดขาย รับจังหวะภาครัฐเร่งงานโครงการก่อสร้างเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศ CLMV+I ยังสดใส ดันสัดส่วนตลาดส่งออกแตะ 19% ของยอดขายรวม เร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ด้านผู้บริหาร ชี้หากผู้ประกอบการห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ขยายการลงทุนไปในอาเซียน จะยิ่งส่งผลดีต่อการเติบโตในตลาดส่งออกของ DRT
นายสาธิต สุดบรรทัด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด ยิปซัม อิฐมวลเบา และบริการหลังการขายภายใต้แบรนด์ “ตราเพชร” เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังยังรักษาอัตราการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยกำลังซื้อภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับรัฐบาลได้เร่งดำเนินโครงการก่อสร้างภาครัฐต่างๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงเป็นโอกาสของ DRT ที่จะเข้าไปขยายงานเพื่อรุกลูกค้ากลุ่มราชการเพิ่มเติม หลังมองเห็นโอกาสที่หน่วยงานราชการต่างๆ ได้เปิดประมูลโครงการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานก่อสร้างใหม่ และงานปรับปรุงซ่อมแซม
ทั้งนี้ DRT มีความพร้อมด้านสินค้าที่หลากหลาย และได้รับมาตรฐาน มอก. ซึ่งมีคุณสมบัติสินค้าที่ได้ตามข้อกำหนดด้านมาตรฐานจากหน่วยงานราชการ โดยขณะนี้ได้เริ่มเข้าไปเจรจา พร้อมนำเสนอสินค้ากับผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่ได้รับงานก่อสร้างภาคราชการแล้ว
ส่วนแนวโน้มตลาดส่งออกไปในกลุ่มประเทศ CLMV+I (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และอินโดนีเซีย) ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยพบว่าตลาด สปป.ลาว ซึ่งเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรไม่มาก แต่ก็เป็นตลาดที่มีศักยภาพที่ทำยอดขายเติบโตได้เป็นเลข 2 หลัก ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากตลาดส่งออกในปัจจุบันเพิ่มขึ้นแตะ 19% ของยอดขายรวม จากปีก่อนที่มีสัดส่วนรายได้ 16% ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่า DRT จะทำสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจาก 16% เป็น 20% ของยอดขายรวมภายในปี 2561
สำหรับการเติบโตของตลาดส่งออกในอนาคต เชื่อว่ายังขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากผู้ประกอบการห้างค้าปลีกวัสดุขนาดใหญ่ในไทย มีแผนขยายการลงทุนไปในกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตลาดของ DRT ที่มีช่องทางการจำหน่ายเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งของตราสินค้าที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าในภูมิภาคนี้ จึงทำให้บริษัทฯ มีโอกาสผลักดันยอดขายสินค้าในภูมิภาคนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“เราเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะยังรักษาการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิ 245.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.12% จากปัจจัยการรุกขยายตลาดทั้งใน และต่างประเทศ โดยรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยไว้ที่ 80% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ซึ่งเชื่อว่าด้วยแนวทางดังกล่าวจะทำให้เราเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายสาธิต กล่าว