รายงาน
ทีมข่าวเศรษฐกิจผู้จัดการ - การปรับฐานหุ้นไทย ส่อเค้ายังคงมีต่อ คาดในระยะสั้นดัชนีมีโอกาสลงไปทดสอบ 1,400 จุด ประเมินแรงซื้อต่างชาติยังไหลเข้า โดยเฉพาะหุ้น Set 50 ที่ราคาอ่อนตัวคือเป้าหมาย เหตุการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การเดินหน้าลงทุนภาครัฐ และการเมืองในประเทศที่คลี่คลายเป็นจุดดึงดูดสำคัญ ต่อเม็ดเงินต่างแดนอีกร่วม 1 แสนล้านบาท ที่จะเข้ามาช่วยผลักดันดัชนีหุ้นไทยระยะยาวกลับไปทดสอบ 1,600 จุดในช่วงปลายปี
การปรับตัวของดัชนีหลักทรัพย์ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา สร้างความตื่นตระหนกให้แก่นักลงทุนหลังปรับตัวลดลงต่อเนื่องกว่า 107 จุด หรือ 7.42% มาอยู่ที่ 1,445.28 จุด ในวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ผ่านมา (9 ก.ย.2559) จากจุดสูงสุดของปีที่เคยขึ้นไปสร้างสถิติที่ระดับ 1,552.64 จุด เมื่อวันที่11 สิงหาคม 2559 และหรือประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ตลาดหุ้นไทยในครั้งนี้ปรับตัวลดลง 1 ล้านล้านบาท จากวันแรกของเดิอนกันยายนด้วย ซึ่งสาเหตุสำคัญนอกเหนือจากปัจจัยลบต่างๆ นานาที่เกิดขึ้น หลายฝ่ายลงความเห็นว่า เกิดจากการปรับฐานของดัชนีหลักทรัพย์เป็นมูลเหตุที่สำคัญสุด
พร้อมเหตุผลที่ว่า ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงเกินคาดหมาย จากเดิมในช่วงต้นปี 2559 หลายฝ่ายยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะผันผวนตลอดทั้งปี และเคลื่อนไหวในทิศทางลบเป็นส่วนใหญ่ แต่นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนขยับขึ้นไปติดอันดับ 7 ของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนมากที่สุด และเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเมื่อแรงซื้อไหลเข้ามาสู่ตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ย่อมทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ และราคาหุ้นในหลายบริษัทปรับตัวเพิ่ม และเป็นมูลเหตุให้เกิดแรงเทขายเพื่อทำกำไรจากการลงทุนเกิดขึ้นจนดัชนีปรับฐานลงมา
โดยหากพิจารณาถึงมูลการซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุนตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน จะพบว่า นักลงทุนทั่วไปกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิอีกครั้งหลังจากปล่อยขายทำกำไรอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี โดยซื้อสุทธิไป 8,829.43 ล้านบาท ตามมาด้วยการทยอยเข้าซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างประเทศอีก 3,621.40 ล้านบาท ขณะที่แรงขายสุทธิเพื่อทำกำไรตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน รวม 12,450 ล้านบาท มาจากสถาบันขายสุทธิ 8,173.77 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 4,277.06 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ต้นปีพบว่า นักลงทุนทั่วไปนั่นเองที่เป็นผู้ขายสะสมสูงสุด 94,830 ล้านบาท ตามมาด้วยสถาบันที่ขายสุทธิสะสม 42,087 ล้านบาท โดยผู้ที่เข้าซื้อสะสมมากที่สุด ได้แก่ นักลงทุนต่างประเทศ 118,874 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสะสม 18,042 ล้านบาท
ไม่เพียงเท่านี้ จากข้อมูลพบว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ระดับ 1,263.41 จุด เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2559 กับ ณ ปัจจุบันเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2559 ดัชนีหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว 181.87 จุด หรือ 14.39% และในการเคลื่อนไหวที่ระดับดังกล่าวถือว่าใกล้เคียงกับที่ระดับ 1,444.99 จุด เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 หรือช่วง 2 เดือนก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่ต่อจากนี้ คือ หุ้นไทยเข้าสู่จุดพักฐานแล้วหรือไม่ และดัชนีจะเริ่มกลับมารีบาวนด์ หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกได้เมื่อใด? ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่าไม่มีใครสามารถประเมิน หรือออกมายืนยันอย่างชัดเจนได้ มีเพียงแต่ระบุออกมาในทิศทางที่คล้ายกันคือ การปรับตัวลดลงของดัชนีหลักทรัพย์เริ่มเข้าใกล้จุดยุติ และเตรียมปรับฐานเพื่อปรับตัวขึ้นแล้ว จากปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ เม็ดเงินทุนจากต่างประเทศที่ยังทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
คาดเม็ดเงิน ตปท.อีกแสน ล.ไหลเข้า
“พิชิต อัคราทิตย์” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย เวลท์ ประเมินว่า การปรับฐานของตลาดหุ้นไทยเป็นเพียงการปรับฐานในระยะสั้นๆ เพื่อสร้างฐานใหม่ หลังจากบวกขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี โดยเชื่อว่า หลังการปรับฐานแล้วจะมีโอกาสเห็น Fund Flow ไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้อีกประมาณ 1 แสนล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้านี้ที่เข้ามาซื้อสะสมในหุ้นไทยไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท เหตุเพราะเริ่มมีสัญญาณบวกที่ทำให้เชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจต้องเลื่อนออกไปเป็นปี 2560 มากกว่าช่วงเวลาที่เหลือยู่ในปีนี้ น่าหมายถึงท้ายที่สุดจะมีโอกาสได้เห็นหุ้นไทยที่ระดับ 1,600 จุดในปี 2559 ภายใต้เงื่อนไขกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนเติบโต 30%
ส่วนในปี 2560 ประเมินว่า หุ้นไทยจะขยับขึ้นแตะ 1,700 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 15% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการลงทุนภาครัฐที่สูงกว่าในปีนี้
แรงเทขายคอยสกัดก่อน 1,500 จุด
ด้าน “ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี ประเมินว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ดัชนียังคงแกว่งตัวได้ในกรอบ 1,400-1,500 จุด โดยจะยังอยู่ในช่วงของการปรับฐาน อาจเห็นการรีบาวนด์ทางเทคนิคบ้างซึ่งเป็นระยะที่สามารถเข้าซื้อสะสมได้เป็นรายหลักทรัพย์ โดยหากปัจจัยภายในประเทศคลี่คลายลง นักลงทุนจะกลับเข้ามาลงทุนตามปกติ
“ถ้ามองที่ 1,400 จุด P/E ตลาดจะอยู่ที่ 12 เท่า ซึ่งถือว่าน่าเข้าลงทุนเป็นอย่างมาก ขณะที่อัตราการเติบโตของผลกำไร ประมาณ 15% เป็นเครื่องยืนยันว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ เพราะที่ผ่านมา แม้ดัชนีจะแพนนิกแต่ต่างชาติยังทยอยซื้อสะสม แม้จะไม่เข้ามาเต็มตัวแต่ก็ซื้อเก็บทุกวัน ดังนั้น หากนักลงทุนไทยตั้งตัวได้ก็จะพิจารณาเลือกลงทุนตามที่เห็นสมควร ส่วนตัวคิดว่าดัชนีไม่าน่าจะหลุดลงไปลึกถึง 1,300 จุด แต่จะไม่เห็นการดีดกลับแรงขึ้นไปถึง 1,500 จุด ในระยะกลาง เราคาดว่าจะเผชิญแรงขายทำกำไรจากลุ่มที่มีต้นทุน1,400 จุดอีกครั้ง”
หุ้นถูก Set50 เป้าหมายเม็ดเงินต่างแดน
ขณะที่ “ประกาศิต ทิตาราม” หรือ Wave Raider นักลงทุนที่มีชื่อเสียง มองภาพรวมการลงทุนระยะนี้ว่าหากปัจจัยภายในประเทศไม่คลี่คลาย นักลงทุนรายย่อยจะกลับมาเน้นถือเงินสด ชะลอการลงทุน หรือหาลงทุนก็จะเลือกซื้อรายตัวซึ่งราคาร่วงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้น ส่วนตัวมองแนวรับที่ 1,400 จุด และถัดไปที่ 1,370 จุด ไม่เพียงเท่านั้น ยังเชื่อว่าการปรับตัวลดลงมากของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาสะสมหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Set 50 ที่หลายบริษัทราคาปรับลงไปมาก และต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน
“หากปัจจัยในประเทศคลี่คลาย นักลงทุนรายย่อยก็จะกล้ากลับเข้ามาในตลาดฯ สังเกตุภาพการลงทุนขณะนี้มีแรงขายจากกองทุนเป็นหลัก และกองทุนเองก็ยังไม่กลับเข้ามาซื้อเต็มตัว ขณะที่แรงซื้อต่างชาติก็เป็นลักษณะเข้ามาเลือกซื้อของถูก มากกว่ากลับเข้ามาอย่างจริงจัง ภาพรวมทั้งครึ่งปีแรก นักลงทุนเริ่มซื้อหนักๆ แค่ 2 ช่วงเท่านั้น ช่วงแรกต้นทุนที่ 1,300 จุด หรือช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ และต่างชาติกลับเข้ามาหนักๆ ช่วงมิถุนายนต้นทุนอยู่ที่ 1,400 จุด ดังนั้น การที่ดัชนีแพนนิกแล้วลงมาติด 1,400 จุด ซึ่งเป็นต้นทุนของต่างชาติมองไม่แปลก แต่การลงทุนระยะต่อไปขึ้นอยู่กับจิตวิทยาของนักลงทุนไทยเอง หากดัชนีจะดีดกลับก็ยังไม่น่าจะกลับขึ้นไปถึง 1,500 จุด ถ้าดีดกลับขึ้นไปคาดว่าจะมีแรงทำกำไรออกมาพอสมควร กว่าจะผ่าน 1,500 จุดขึ้นไปได้"
ความกังวลฉุดหุ้นมีโอกาสปรับฐานต่อ
ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า จากความกังวลของนักลงทุน รวมทั้งมีแรงเทขายทางเทคนิค หลังจากที่ดัชนีหลุดแนวรับสำคัญ จากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดัน sentiment ของตลาดหุ้นทั่วโลก และตลาดหุ้นไทย ทำให้ดัชนีหุ้นไทยช่วงนี้มีโอกาสปรับตัวลงไปทดสอบที่ 1,425 และ 1,400 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,460 และ 1,480 จุด
จากข้อมูลข้างต้นพอสรุปได้ว่า การปรับฐานของดัชนีหุ้นไทยรอบนี้ยังไม่จบ แต่จะไม่รุนแรงจัดเหมือนช่วงที่ผ่านมา และมีความเป็นไปได้ที่หุ้นไทยอยากลงไปทดสอบแนวรับสำคัญ 1,400 จุด ขณะที่การปรับตัวเพิ่ม หรือรีบาวนด์ในรอบนี้จะไม่เพิ่มขึ้นแรงด้วยแรงเทขายเตรียมทำกำไรคอยกดดัน แต่ในระยะกลาง-ยาว ดัชนีมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 1,600 จุด บนเงื่อนไขการลงทุนในประเทศมีมากขึ้นกว่าปัจจุบัน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่าช่วงต้นปี และที่สำคัญคือคือ เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง