กรุงเทพดุสิตเวชการ ปรับลดเป้าหมายการเติบโตของรายได้ลงเหลือโตเพียง 8-10% หลังผลงานครึ่งปีแรกพลาดหวัง แม้ครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซั่น แจงปรับลดตามภาพรวมของโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด ย้ำยังโตสูงกว่าอุตสาหกรรม และ EBITDA Margin ปีนี้อยู่ที่ 22% สูงขึ้นจากปีก่อนที่ 17.23%
นางนฤมล น้อยอ่ำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดเป้ารายได้ในปีนี้ลงเหลือเติบโต 8-10% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้เติบโต 12-15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 6.51 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้มีการทบทวนเป้าหมายอีกครั้งหลังจากผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกออกมา
โดยรายได้ของบริษัทในครึ่งปีแรกเติบโต 9% จากปีก่อน หรือมาอยู่ที่ 3.37 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทต้องมีการพิจารณาเป้าหมายรายได้ของบริษัทให้มีความสอดคล้องกัน แม้ว่าครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจที่มีคนไข้เข้ามารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นกว่าครึ่งปีแรก โดยในปีนี้บริษัทคาดว่า รายได้จะอยู่ที่ราว 7 หมื่นล้านบาท
“เราปรับเป้ารายได้ลงเป็นโต 8-10% ให้สอดคล้องความจริงที่เกิดขึ้นของโรงพยาบาลในเครือเรา และพิจารณาเป็นไปตามการเติบโตของรายได้ของบริษัทในครึ่งปีแรกที่โต 9% ซึ่งภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ชะลอตัว ไม่กระทบกับการเข้ามารักษาพยาบาลของคนไข้มากนัก แต่ปรับลงให้เป็นไปในภาพรวมของโรงพยาบาลทั้งหมดในเครือ แต่การเติบโตที่ 8-10% ของเราก็ถือว่ายังสูงอยู่ เพราะเศรษฐกิจไทยขยายตัวราว 3% และการเติบโตของเราก็ยังถือว่าสูงกว่าอุตสาหกรรม” นางนฤมล กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป้าหมาย EBITDA Margin ในปีนี้ไว้ที่ 22% สูงขึ้นจากปีก่อนที่ 17.23% และยังคงงบลงทุนรวมในปีนี้ไว้ที่ 11% ของรายได้ ขณะที่แนวโน้มรายได้ในไตรมาส 3/59 บริษัทคาดว่า จะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโรงพยาบาล และในช่วงไตรมาส 3/59 ได้รับปัจจัยหนุนจากการหมดช่วงฤดูกาลถือศีลอด และเป็นช่วงฤดูร้อนของตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออก ประกอบกับเป็นช่วงฤดูฝนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้จะมีการเจ็บป่วยที่มาจากโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้มีจำนวนคนไข้เข้ามารับการรักษาเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมาของรายได้ค่ารักษาพยาบาลตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นมา โดยสัดส่วนคนไข้ที่เข้ารับการรักษาโรงพยาบาลในเครือของบริษัท ยังเป็นคนไทยในสัดส่วนที่ 70% และอีก 30% เป็นคนไข้จากต่างประเทศ โดยคนไข้ต่างประเทศที่เข้ารับการรักษาในเครือโรงพยาบาลของบริษัทมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ ชาวญี่ปุ่น และรองลงมาเป็นคนไข้จากตะวันออกกลาง
นางนฤมล น้อยอ่ำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดเป้ารายได้ในปีนี้ลงเหลือเติบโต 8-10% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้เติบโต 12-15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 6.51 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้มีการทบทวนเป้าหมายอีกครั้งหลังจากผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกออกมา
โดยรายได้ของบริษัทในครึ่งปีแรกเติบโต 9% จากปีก่อน หรือมาอยู่ที่ 3.37 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทต้องมีการพิจารณาเป้าหมายรายได้ของบริษัทให้มีความสอดคล้องกัน แม้ว่าครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจที่มีคนไข้เข้ามารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นกว่าครึ่งปีแรก โดยในปีนี้บริษัทคาดว่า รายได้จะอยู่ที่ราว 7 หมื่นล้านบาท
“เราปรับเป้ารายได้ลงเป็นโต 8-10% ให้สอดคล้องความจริงที่เกิดขึ้นของโรงพยาบาลในเครือเรา และพิจารณาเป็นไปตามการเติบโตของรายได้ของบริษัทในครึ่งปีแรกที่โต 9% ซึ่งภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ชะลอตัว ไม่กระทบกับการเข้ามารักษาพยาบาลของคนไข้มากนัก แต่ปรับลงให้เป็นไปในภาพรวมของโรงพยาบาลทั้งหมดในเครือ แต่การเติบโตที่ 8-10% ของเราก็ถือว่ายังสูงอยู่ เพราะเศรษฐกิจไทยขยายตัวราว 3% และการเติบโตของเราก็ยังถือว่าสูงกว่าอุตสาหกรรม” นางนฤมล กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป้าหมาย EBITDA Margin ในปีนี้ไว้ที่ 22% สูงขึ้นจากปีก่อนที่ 17.23% และยังคงงบลงทุนรวมในปีนี้ไว้ที่ 11% ของรายได้ ขณะที่แนวโน้มรายได้ในไตรมาส 3/59 บริษัทคาดว่า จะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโรงพยาบาล และในช่วงไตรมาส 3/59 ได้รับปัจจัยหนุนจากการหมดช่วงฤดูกาลถือศีลอด และเป็นช่วงฤดูร้อนของตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออก ประกอบกับเป็นช่วงฤดูฝนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้จะมีการเจ็บป่วยที่มาจากโรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้มีจำนวนคนไข้เข้ามารับการรักษาเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมาของรายได้ค่ารักษาพยาบาลตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นมา โดยสัดส่วนคนไข้ที่เข้ารับการรักษาโรงพยาบาลในเครือของบริษัท ยังเป็นคนไทยในสัดส่วนที่ 70% และอีก 30% เป็นคนไข้จากต่างประเทศ โดยคนไข้ต่างประเทศที่เข้ารับการรักษาในเครือโรงพยาบาลของบริษัทมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ ชาวญี่ปุ่น และรองลงมาเป็นคนไข้จากตะวันออกกลาง