ธารรมณ์ฯ มั่นใจผลลงคะแนนประชามติส่งความเชื่อมั่น เดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งในปี 60 ดันตลาดแนวราบปลายปีปรับตัวดีต่อเนื่อง คาดปี60ตลาดอสังหาฯสดใส ยอดปล่อยสินเชื่อที่ดีขึ้น ตัวเลขหนี้รถคันแรกเริ่มลดลง ยอดปฎิเสธสินเชื่อปรับตัวดีขึ้น พร้อมปรับแผนเลื่อนโครงการมาเปิดเร็วขึ้นอีก 1-2 เดือน เน้นโครงการขนาดเล็ก ปิดเร็ว
นายณัฐพล มัททวกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงตลาดที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 ว่า มีทิศทางที่ดีขึ้น หลังรู้ผลการลงคะแนนประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะจากนี้ไปการงานของรัฐบาลจะเดินไปตามโรดแมปที่กำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดการเลือกตั้งในปี 2560 และทำให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งตามที่สากลยอมรับ ซึ่งส่งผลให้ต่างชาติมั่นใจและเข้ามาลงทุนมากขึ้น เศรษฐกิจจะเริ่มขยายตัวตาม
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกเข้ามาเสริม โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องการปล่อยที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มที่ดี สังเกตได้จากยอดการปฏิเสธสินเชื่อที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ10% จากเดิมอยู่ในระดับ 15-25%ในช่วงปี2558 ต่อเนื่องมาถึงช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และคาดว่าในปี2560 ตลาดอสังหาฯจะดีขึ้นอย่างชัดเจน จากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นและกลุ่มกำลังซื้อระดับกลางจะกลับมา หลังกลุ่มลูกค้าในโครงการรถคันแรกทยอยส่งค่างวดหมด คาดว่ายอดปฏิเสธสินเชื่อจะลดลงมาต่ำกว่า 10% จากสัญญาณที่ดี จะส่งผลให้ทิศทางตลาดบ้านแนวราบระดับกลางปรับตัวดีขึ้น
" ในส่วนของ ธารารมณ์ฯ ไม่เน้นกลยุทธ์การแข่งขันด้านราคา แต่จะขยับขึ้นไปจับกลุ่มลูกค้าในตลาดที่สูงขึ้นเล็กน้อย จากราคาปกติ1-1.5ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อที่ดีและง่ายต่อการขอสินเชื่อ ส่วนการทำตลาดนั้นยังเน้นการทำแคมเปญแบบเจาะจงรายต่อราย ซึ่งสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้โดยตรง เพราะลูกค้าแต่ละรายมีความต้องการต่างกัน ดังนั้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ทางบริษัทได้ปรับแผนในช่วงเดือนที่เหลือ โดยจะเลื่อนโครงการที่จะเปิดปลายปีขยับขึ้นมาเปิดโครงการเร็วขึ้นอีก 1-2 เดือน เป็นโครงการขนาดเล็ก เน้นปิดการขายที่เร็วขึ้น "
อย่างไรก็ตาม เพื่อลดจำนวนการปฏิเสธสินเชื่อ ทางบริษัทมีการตรวจสอบลูกค้า และเพิ่มเงินดาวน์ให้สูงขึ้นจาก 10 % เป็น 15% ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือลูกค้าในการขอสินเชื่อและผ่อนค่างวดง่ายขึ้น
สำหรับปีนี้ ธารารมณ์ฯ ตั้งเป้ายอดขายรวม1,200ล้านบาท โดยครึ่งปีที่ผ่านมาสามารถทำได้แล้ว 600 ล้านบาท ส่วนเป้ายอดโอนที่วางไว้ 1,100 ล้านบาทในปีนี้ น่าจะดำเนินการได้ตามเป้า เพราะมียอดขายรอบันทึกเป็นรายได้(แบ็กล็อก)ที่จะมาบันทึกในปีนี้กว่า 200 ล้านบาท.