“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ฯ” ประกาศผลประกอบการไตรมาสสองปี 2559 เติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง มียอดรับรู้รายได้ที่ 720.8 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 63.7% กำไรสุทธิแตะระดับ 139.7 ล้านบาท เติบโต 111% มั่นใจผลประกอบการทั้งปีทะลุเป้า 2.4 พันล้านบาท หรือเติบโต 15% ปัจจุบันเปิดแล้ว 5 โครงการ มีแผนช่วงที่เหลือของปีเปิดเพิ่มอีก 4 โครงการ รวมทั้งปี 9 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) หนึ่งในผู้นำโครงการอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่า 29 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า แม้ว่าภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ยังคงชะลอตัว แต่ก็เป็นไปตามที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้แล้วล่วงหน้า โดยบริษัทได้มีการวางแผน และดำเนินกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จึงทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของตัวเลขรับรู้รายได้ที่ในไตรมาสสองเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 63% มาอยู่ที่ระดับ 720.8 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังมีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ทั้งต้นทุนที่ดิน การก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายด้านการขาย และการบริหาร ตลอดจนค่าใช้จ่ายทางด้านการเงิน ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสสองนี้ เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 111% มาอยู่ที่ระดับ 139.7 ล้านบาท
ในส่วนของยอดขายใหม่ในครึ่งปีแรก บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 2,000 ล้านบาท ส่งผลให้มียอดขายรอรับรู้รายได้ในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 950 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด จึงทำให้มีความมั่นใจว่า บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ได้มากว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีที่ 2,400 ล้านบาท
สำหรับการขยายธุรกิจในช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบันนั้น บริษัทเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทเตรียมที่จะเปิดโครงการใหม่อีก 4 โครงการในช่วงที่เหลือของปี และมั่นใจว่าทั้งปีนี้บริษัทจะสามารถเปิดโครงการใหม่ได้ทั้งสิ้น 9 โครงการ ในปีนี้ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งมากว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8 โครงการ
“บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างดี เพราะในการบริหารงาน เรามีกลยุทธ์การวางแผนที่ชัดเจน และเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้ผลงานในไตรมาสสองของปีนี้เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ไตรมาสที่สาม บริษัทมีแผนงานที่ดีมารองรับแล้ว จึงมั่นใจว่าจะขยายตัวได้เช่นเดียวกัน และทั้งปีเราจะมียอดรับรู้ได้รายได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2,400 ล้านบาท”
โดยบริษัทยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่ดีมาอย่างยาวนานมากกว่ายี่สิบปี โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2559 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียงแค่ 0.78 เท่า ต่ำกว่าอุตสาหกรรมซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่เกือบ 1.5 เท่า ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ศักยภาพในการขยายธุรกิจยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกมาก ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.125 บาท โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD 30 สิงหาคม 2599 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 14 กันยายน 2559 เมื่อรวมกับเงินปันผลที่จ่ายไปแล้วในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ 0.135 บาท รวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปีนี้แล้วทั้งสิ้น 0.26 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ประมาณ 6.4%