xs
xsm
sm
md
lg

“บล.แอพเพิล เวลธ์” มองดัชนี ส.ค.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

บล.แอพเพิล เวลธ์ ประเมิน แนวโน้ม SET เดือน ส.ค. หลังผลการลงประชามติ 7 ส.ค.59 ชี้กรณีประชามติผ่าน Fund Flow ราว 4-5 หมื่นล้านบาท จะลุยหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลัง ดันดัชนีฯ ทะยานแตะ 1,600 จุด แต่หากประชามติไม่ผ่าน คาดดัชนีฯ ปรับฐานลงแนวรับ 1,480 จุด เหตุเลือกตั้งจะล่าช้า กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน แนะซื้อหุ้นแบงก์ (KBANK-SCB-BBL-KTB) ชี้สินเชื่อมีโอกาสขยายตัวในครึ่งปีหลัง กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (CK-STEC) รับอานิสงส์โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม, ชมพู-เหลือง และกลุ่มท่องเที่ยว (AOT-AAV-BA)

นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือน ส.ค.59 ประเด็นสำคัญอยู่ที่การลงประชามติในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินสถานการณ์การลงทุนหลังผลประชามติไว้ 2 กรณี คือ 1.กรณีผลประชามติผ่าน จะส่งผลบวกต่อเม็ดเงินต่างชาติที่คาดจะยังไหลเข้าสะสมหุ้นไทยได้อีกราว 4-5 หมื่นล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลัง เทียบเคียงเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าในช่วงการเลือกตั้งปี 2550 ที่สูงถึง 1.2 แสนล้านบาท ประกอบกับ Valuation ดัชนีตลาดหุ้นไทย

ปัจจุบัน ระดับ Forward P/E ที่ 16.4 เท่า ยังถูกเมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นอินโดฯ และฟิลิปปินส์ ที่ระดับ 17.30 และ 20.50 ตามลำดับ ดังนั้น หากผ่านประชามติดัชนี SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1,575-1,600 (Forward P/E 17-17.3 X)

“SET ในช่วงการตั้ง สสร.ปี 50 จนถึงช่วงประชามติ ส.ค.50 มีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นคงนักลงทุนที่จะมีการเลือกตั้งใน ธ.ค.50 เปรียบเทียบกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี-ก.ค.59 จำนวน 8 หมื่นล้านบาท สะท้อนความคาดหวังเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการลงทุนหากสามารถจัดการเลือกตั้งได้ในช่วงปลายปี 60-ต้นปี 61” นายอภิชัย กล่าว

2.กรณีไม่ผ่านประชามติ ประเมินทิศทางดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับฐานลงสู่แนวรับ 1,480 จุด เนื่องจากการเลือกตั้งจะล่าช้าออกไปจาก Road Map ของรัฐบาลที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 60 ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ประเมินตลาดหุ้นเกิดใหม่ยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ, การอัดฉีดสภาพคล่องของ BOJ, BOE, ECB และหากทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังไม่สามารถปรับขึ้นได้จนถึงปลายปีนี้ ปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้ส่งผลให้ดัชนี SET ยังมี Downside Risk อยู่ในระดับต่ำ

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร ( KBANK-SCB-BBL-KTB) จากปัจจัยบวกสินเชื่อมีโอกาสขยายตัวในครึ่งปีหลัง, การชะลอตัวระดับ NPL ประกอบกับมูลค่า P/BV กลุ่มธนาคารปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ และแนะนำซื้อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (CK-STEC) จากปัจจัยบวกโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม, ชมพู-เหลือง และรถไฟทางคู่สายประจวบ-ชุมพร, กลุ่มท่องเที่ยว (AOT-AAV-BA) จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้คาดสูงถึง 17 ล้านคน นอกจากนี้ แนะนำหุ้น Domestic Play ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อผู้บริโภค เช่น CPALL-BJC-QH


กำลังโหลดความคิดเห็น