พีดีเฮ้าส์ ชี้ครึ่งปีแรก 59 ตลาดรับสร้างบ้านแข่งขันราคาเดือด เหตุกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน เชื่อกฎหมายภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ส่งผลด้านบวกมากว่า เผยปี 59 บริษัทฯ ปรับตัวอย่างมาก ทั้งรีแบรนด์ รีโปรดักต์ รีไพร์ซ และครึ่งปีหลังเตรียมรีโลเคชันสาขาเก่า หลังพบบางพื้นที่ตลาดอิ่มตัว เผยยอดขายครึ่งปีแรกต่ำกว่าเป้าร้อยละ 10 แต่เชื่อมั่นชิงแชร์ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มได้ ตั้งเป้าไตรมาส 3 กวาดยอดขาย 400 ล้านบาท ทั้งปีได้ตามเป้า 1,400 ล้านบาท
นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ผู้นำในธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวถึงภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า ยังคงมีการแข่งขันราคารุนแรง และต่อเนื่อง เหตุเพราะความต้องการสร้างบ้าน และกำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวดี กอปรกับในบางพื้นที่เกิดคู่แข่งทั้งทางตรง และทางอ้อมเพิ่มขึ้น ทั้งบริษัทรับสร้างบ้าน บ้านจัดสรรในท้องถิ่น และจากส่วนกลางที่รุกขยายตลาด และสาขาออกไปในหลายๆ จังหวัด ขณะที่กำลังซื้อผู้บริโภคยังมีเท่าเดิม หรือทรงตัว ส่งผลให้ตัวเลขยอดขายของบรรดาผู้ประกอบการถูกแชร์แบ่งกัน และส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าเป้าที่คาดการณ์ไว้ครึ่งปีแรก
“จากการที่รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2560 นั้น ประเด็นดังกล่าวมีผลด้านบวกต่อภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านมากกว่า โดยเฉพาะการเก็บภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่าแบบอัตราก้าวหน้า ตัวอย่างเช่น ที่ดินขนาด 50 ตารางวา มูลค่า 1 ล้านบาท (ราคาตารางวาละ 2 หมื่นบาท) หากปล่อยทิ้งไว้รกร้างว่าเปล่านาน 7 ปีขึ้นไป จะต้องเสียภาษีอัตราสูงสุดร้อยละ 3 หรือคิดเป็นเงิน 3 หมื่นบาทต่อปี ซึ่งถือเป็นภาระที่ประชาชนต้องแบกรับค่าภาษีที่สูงพอสมควร นโยบายดังกล่าวของรัฐบาล จึงเป็นการกระตุ้นให้ประชาชน หรือเจ้าของที่ดินเปล่า ซึ่งมีให้เห็นอยู่ตามตรอกซอกซอยจำนวนมากในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง หันมาปลูกสร้างบ้าน หรือใช้ประโยชน์กันมากขึ้น คาดว่าจะเริ่มส่งผลดีต่อตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป”
ในส่วนของบริษัทฯ ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการปรับตัว โดยช่วงครึ่งปีแรกได้มีการรีแบรนด์ (Rebrand) และเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าใหม่ พร้อมกันนี้ก็ทำการรีโปรดักต์ (Re-Product) ด้วยการนำระบบโครงสร้างเหล็กมาใช้แทนการก่อสร้างบ้านระบบเดิมมากขึ้นด้วย
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มีการปรับแผนการตลาดบางส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์แข่งขันที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดในทำเลใหม่ๆ และเจาะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายใหม่มากขึ้น โดยจะมีการรีโลเคชัน (Re-Location) หรือย้ายที่ตั้งสำนักงานสาขาเดิมที่เห็นว่า พื้นที่นั้นๆ ตลาดเริ่มอิ่มตัว หรือมีการแข่งขันสูง หรือเป็นพื้นที่ที่มีสาขาตั้งอยู่ใกล้กันให้บริการได้อยู่แล้ว เช่น สาขาพระราม 2 ที่อยู่ใกล้กับสาขากาญจนาภิเษก (ตลิ่งชัน) รวมทั้งจะมีการขยับสาขาที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาล ว่าด้วยการจัดเก็บภาษีบ้านหลังที่ 2 เพราะประเมินว่า ในอนาคตตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่ดังกล่าวจะไม่เติบโตเหมือนที่ผ่านมา อาทิ สาขาปากช่อง (เขาใหญ่) ฯลฯ เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมแผนรีไพร์ซ (Re-Price) หรือปรับราคาขายบ้านจากราคาปกติลงเฉลี่ย 3-5% โดยจะเริ่มดำเนินการภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ สาเหตุที่ตัดสินใจ เพราะปัจจัยในเรื่องความสามารถในการบริหารต้นทุนได้ต่ำลง ทั้งในส่วนของต้นทุนวัสดุที่ใช้การรวมคำสั่งซื้อภายใต้ระบบแฟรนไชส์ และการนำระบบก่อสร้าง และวัสดุสำเร็จรูปมาใช้มากขึ้น ซึ่งช่วยให้ลดระยะเวลา และทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้างลดลง ทั้งนี้ การปรับราคาบ้านลงจะไม่กระทบกำไรต่อหน่วย แต่ในมุมตรงข้ามกลับช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และสอดคล้องกับสถานการณ์กำลังซื้อผู้บริโภคที่มีอยู่จำกัด
“เราคาดว่า ผลจากการขยับลดราคาลง จะกระตุ้นยอดขายให้เติบโตมากในช่วงครึ่งปีหลัง แต่หากในระยะข้างหน้า หากภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น มีการลงทุนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาวัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นต้นทุนสูงขึ้น ทางบริษัทก็อาจจะมาทบทวนขยับราคาขึ้นตามต้นทุนที่แท้จริง” นายพิศาล กล่าว
ปี 2559 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ทั้งสิ้น 1,400 ล้านบาท (ปี 2558 สามารถทำยอดขายรวมได้ 1,200 ล้านบาท) โดยในช่วง 6 เดือนแรกมียอดขายรวม 620 ล้านบาทเศษ จากเป้าครึ่งปีตั้งไว้ 700 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าประมาณร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขยอดขายไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ แต่ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมตลาดบ้านสร้างเองที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยไตรมาส 3 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ 400 ล้านบาท.