พีดีเฮ้าส์ เผยยอดขายบ้านไตรมาสแรกต่างจังหวัดโตสวนกระแสเศรษฐกิจ แต่ กทม. และปริมณฑลยังซึมๆ โชว์ยอดขายภาคใต้ฟื้นตัวแรง มีสัดส่วนร้อยละ 31 ของยอดขายรวมทุกสาขา มูลค่า 123 ล้านบาท ขณะที่ภาคอีสาน ครองสัดส่วนสูงสุดร้อยละ 33 มูลค่า 126 ล้านบาท แต่ยังห่วง 3 ไตรมาสที่เหลือ แรงซื้ออาจไม่คึกคัก เหตุจากปัจจัยเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน ชี้ “บ้านสร้างเอง” ไม่ได้รับอานิสงส์โครงการบ้านประชารัฐหลังส่องรายละเอียด เผย Q2 ทนแรงแข่งขันกดดันไม่ไหว หันจัดหนักโปรโมชัน ลด แจก แถมสูงสุด 2 ล้านบาท หวังกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค ตั้งเป้ากวาดยอดขาย 6 เดือน 700 ล้านบาท
นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกเศรษฐกิจของประเทศจะยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน รวมถึงภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังอยู่ในภาวะทรงตัว แต่ปรากฏว่า 3 เดือนเศษที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถปิดจอง หรือมียอดขายบ้านได้เกือบ 400 ล้านบาท จากสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ 40 สาขา ซึ่งสูงกว่าเป้ายอดขายที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ ตัวเลขยอดขายทุกสาขารวม 386 ล้านบาท โดยมาจากศูนย์รับสร้างบ้านสาขาภาคอีสานมากที่สุด คิดเป็นมูลค่า 126 ล้านบาท หรือร้อยละ 33 อันดับรองลงมาคือ ยอดขายจากสาขาภาคใต้ คิดเป็นมูลค่า 123 ล้านบาท หรือร้อยละ 31 ซึ่งถือว่ายอดขายภาคใต้เติบโตแบบก้าวกระโดด เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนที่อยู่รั้งท้ายตาราง ยอดขายส่วนที่เหลือเป็นของภาคกลาง และภาคเหนือ ตามลำดับ สำหรับสาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มียอดขายประมาณ 50 ล้านบาทเศษ หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
“ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ความต้องการสร้างบ้าน และกำลังซื้อผู้บริโภคส่งสัญญาณขยายตัวดีขึ้น สวนทางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวจริง แต่ในช่วง 9 เดือนข้างหน้า ยังเป็นกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดอสังหาฯ ภายใต้โครงการบ้านประชารัฐ ที่ดูเหมือนว่ามาตรการครั้งนี้กลุ่มบ้านสร้างเอง หรือ “ธุรกิจสร้างบ้าน” จะได้รับอานิสงส์ด้วย แต่เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขที่กำหนดไว้ “ราคาบ้านรวมค่าที่ดินแปลงที่จะปลูกสร้างต้องไม่เกิน 1.5 ล้านบาท” ซึ่งในทางปฏิบัติแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าที่ดินแปลงที่จะใช้ปลูกสร้างบ้านนั้นอย่างน้อยต้องมีขนาด 40 ตารางวาขึ้นไป (มีระยะเว้นโดยรอบตามกฎหมายกำหนด) เฉพาะราคาค่าที่ดินเฉลี่ยตารางวาละ 1.5-3 หมื่นบาท (ในเขตกรุงเทพฯ รอบนอก และปริมณฑล) ก็เกือบเต็มวงเงินให้กู้ยืมแล้ว หรือเหลือวงเงินไม่พอต่อค่าก่อสร้างบ้าน ดังนั้น ในความเป็นจริงโครงการบ้านประชารัฐ จึงไม่ได้เอื้อต่อธุรกิจสร้างบ้านแต่อย่างใด”
ปี 2559 นี้ตลาดรับสร้างบ้าน หรือกำลังซื้อภาคใต้ปรับตัวดีขึ้นมาก หลังจากที่กำลังซื้อชะลอตัวมานานเกือบ 2 ปี ขณะที่กำลังซื้อในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังซึมๆ ส่งผลให้ผู้ประกอบการแข่งขันราคากันรุนแรง อย่างไรก็ดี ตัวเลขยอดขายไตรมาสแรกของบริษัทฯ ที่เติบโตนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกำลังซื้อผู้บริโภคในต่างจังหวัดที่อั้นมานาน และเกิดจากการปรับตัวเองในหลายๆ ด้านช่วงก่อนหน้านี้ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งด้านการออกแบบ และระบบก่อสร้าง การขยายสาขาห รือพื้นที่ให้บริการในต่างจังหวัด การพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรและองค์กร การสร้างเครือข่ายธุรกิจและซัปพลายเชน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ฯลฯ สำคัญที่สุดคือ การรักษาชื่อเสียง และภาพลักษณ์ของแบรนด์พีดีเฮ้าส์ ให้เป็นที่ไว้วางใจ และเชื่อมั่นของผู้บริโภค ภายใต้แนวคิดคุณภาพ และบริการมาตรฐานเดียวกัน และนั่นส่งผลทำให้บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้ายอดขายปี 2559 นี้ไว้ 1.4 พันล้านบาท แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังฟื้นตัวไม่ชัดเจนก็ตาม
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2 นี้ บริษัทฯ เตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจและกำลังซื้อผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย สำหรับผู้ที่จองปลูกสร้างบ้าน ทั้งแบบชำระด้วยเงินสด และเงินกู้ยืม หรือขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ภายใต้แคมเปญ “เย็นใจ วันมหาสงกรานต์” โดยผู้ที่จองสร้างบ้านทุกท่านจะได้รับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ คือ ต่อที่ 1 เย็นใจ รับฟรีเครื่องปรับอากาศ 1-3 เครื่อง ต่อที่ 2เย็นใจ รับส่วนลดเงินจอง 50% มูลค่า 2.5 หมื่นบาท-1 แสนบาท และรับส่วนลดเงินสดเพิ่มอีก 5หมื่นบาท-1 แสนบาทในวันทำสัญญา และต่อที่ 3 เย็นใจ เมื่อจะต่อ จะเติม จะเปลี่ยนอะไรก็ได้ตามใจ มูลค่าสูงสุด 2 ล้านบาท ฟรี (ตามราคาบ้าน) โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายสำหรับแคมเปญนี้ไว้ 300 ล้านบาท หรือเท่ากับเป้ายอดขายรวม 700 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรก สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ทั้ง 40 สาขาใกล้บ้าน ภายในวันที่ 30 เม.ย. 2559 นี้เท่านั้น
