บล.เคทีบี มองแนวโน้ม SET เดินหน้าต่อรับปัจจัยบวก เฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่เชื่อว่าจะไปขึ้นหลังเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ ในเดือน ธ.ค. พร้อมประเมินผลต่อราคาสินทรัพย์ เงินดอลาร์สหรัฐที่อ่อนลง และเม็ดเงินไหลเข้าสกุลเยน และพันธบัตร ส่วนบีโอเจ คาดจะอัดเพิ่ม 28 ล้านล้านเยนเข้าระบบ ส่วนตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็ก คงไม่มีผลมากนัก พร้อมให้กรอบ 1,504-1,520 จุด
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST มองตลาดหุ้นวันนี้ (28 ก.ค.) โดยระบุว่า การคงนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในคืนที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจภายนอกประเทศแต่อย่างใด มองเป็นบวกต่อตลาด ทั้งในเรื่องทิศทางเศรษฐกิจ และการที่ Fed ยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้
แต่ทาง บล. KTBST คาดว่า จะไปปรับขึ้นหลังผ่านการเลือกตั้งประธานาธิบดีไปแล้วในเดือน ธ.ค. อย่างไรก็ตาม ผลต่อราคาสินทรัพย์ทางการเงินหลังการประชุม คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลง เงินเยนสูงขึ้น ราคาพันธบัตรสูงขึ้น ผลต่อตลาดหุ้นจึงมีทั้งบวกและลบ โดยปัจจัยบวก คือ ดอกเบี้ยยังไม่ขึ้น แต่ปัจจัยลบ คือ อาจมีเงินทุนไหลเข้า (fund flow) เข้าไปลงทุนในเงินเยน หรือพันธบัตรมากขึ้น แต่ถึงกระนั้น ตลาดหุ้นไทยซึ่งมีขนาดเล็กอาจไม่ได้ถูกกระทบ โดยเรายังมองว่าเงินทุนจากต่างประเทศ และจากตลาดพันธบัตรไทยเอง ยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอยู่ต่อไป เพียงแต่จะมีไม่รุนแรงนัก
ทั้งนี้ แนวโน้มที่ญี่ปุ่นอาจเพิ่มวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นไปจากเดิม 10 ล้านล้านเยน เป็น 28 ล้านล้านเยน ทำให้การประชุม BOJ ที่จะเริ่มในวันนี้มีความสำคัญขึ้นมาก เพราะธนาคารกลางอาจมีการเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ลดดอกเบี้ย+QE) ให้สอดคล้องกับแผนของรัฐบาล ตัวแปรที่เคยเป็นตัวถ่วงตลาด คือ ราคาน้ำมันดิบจะกลับมาดีขึ้นเล็กน้อย หลังการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ แต่เราเชื่อว่านักลงทุนมีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจกับหุ้นที่มีต้นทุนเป็นน้ำมันมากกว่า เช่น กลุ่มปิโตรเคมี หรือขนส่ง เพราะไม่มั่นใจต่อสภาวะ oversupply ซึ่งเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาน้ำมันอย่างแท้จริง
ส่วนปัจจัยในประเทศ ตัวเลขส่งออกที่ออกมาดี (ส่วนหนึ่งมาจากการส่งออกทองคำ) โดยสินค้าอุตสาหกรรมในกลุ่มอีเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป และยานยนต์ พลิกกลับมาเป็นบวก ซึ่งจะส่งผลบวกมาถึงตลาดหุ้นที่เห็นการฟื้นตัวของการส่งออกอุตสาหกรรมที่เคยชะลอตัวมาก่อนหน้านี้
ส่วนปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาดในระหว่างวัน ประกอบด้วย การรายงานการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจโดยกระทรวงการคลัง ด้านรองนายกรัฐมนตรีจะมีการกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของไทย และผลการดำเนินงาน และการคาดการณ์กำไร Q2 ของบริษัทในตลาด โดยวันนี้ PTTEP จะนำส่งงบการเงิน
บล. KTBST จึงประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยว่า ด้วยปัจจัยบวกหลายตัว อาทิ ผลประชุม FOMC ตัวเลขส่งออก และผลการดำเนินงานของบริษัทในตลาดหุ้นหลายตัวที่ออกมาดี และเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศ จะเป็นตัวหนุนให้ดัชนีฯ ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และจะเป็นบวกมากขึ้นหาก SET สามารถผ่านแนวต้านที่ 1,521 จุดขึ้นไปได้ โดยมองกรอบดัชนีวันนี้ที่ 1,504-1,520 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ความแพงของดัชนีฯ กำลังถูกกลบด้วยแรงหนุนจากเงินทุนไหลเข้า และปัจจัยบวกในต่างประเทศ ระดับ P/E ตลาดที่ขึ้นมาสูง KTBST ยังคงแนะนำให้ชะลอการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ หรือถ้าจะลงทุนควรเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน ซึ่งวันนี้มองเป็นบวก สำหรับหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี, ชิ้นส่วนยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์ และหุ้นที่เป็น Domestic play สำหรับหุ้นที่แนะนำ SCC, SAT, JWD, KCE, SAWAD, CPALL, COM7, UAC
นอกจากนี้ ยังแนะนำหุ้น BCP แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ที่ราคาเหมาะสม 38.00 บาท คาดกำไรไตรมาส 2 ปีนี้ฟื้นตัวได้แข็งแกร่งจาก yield ผลิตภัณฑ์ที่กลับมาปกติ ต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลงโดยเปรียบเทียบ และ stock gain ที่ได้จากราคาน้ำมันดิบขาขึ้น มองแนวโน้มกำไรทั้งปียังเติบโตได้จากฐานที่ต่ำในปีก่อน จากการเดินเครื่องโรงกลั่นอย่างเต็มประสิทธิภาพ การหายไปของ stock loss และค่าการตลาดระดับสูง ขณะเดียวกัน แผนการนำ BCPG เข้าจะทะเบียนตลาดมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น