กสิกรฯ ชี้ ผลการลงประชามติร่าง รธน.วันที่ 7 ส.ค.นี้ ไม่ว่าจะออกมาอย่างไร ก็จะไม่กระทบ ศก. เนื่องจากภาครัฐมีกลไกลขับเคลื่อนงบประมาณรองรับ รายจ่ายภาครัฐเดินหน้าได้ และเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งภายในปี 61 ตามแผนโรดแมป โดยคงเป้าจีดีพีปีนี้ยังเติบโตได้ถึง 3% แต่เป็นห่วงผลพวงจากกรณี Brexit ทำส่งออกครึ่งปีลังติดลบเพิ่ม
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ แม้จะผ่านหรือไม่ผ่าน เชื่อว่าจะไม่ผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งศูนย์วิจัยฯ ยังประมาณการเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ครึ่งปีหลังปี 2559 จะขยายตัวที่ร้อยละ 2.9 ส่งผลทั้งปีขยายตัวได้ร้อยละ 3 ตามเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากภาครัฐมีกลไกลขับเคลื่อนงบประมาณรองรับ รายจ่ายภาครัฐเดินหน้าได้ และเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งภายในปี 2561 ตามแผนโรดแมปที่วางไว้ ขณะที่ภาคเอกชน และนักลงทุนยังมีความเชื่อมั่น โดยจะพิจารณาการลงทุนในระยะยาวเป็นหลัก ไม่ตัดสินจากการลงประชามติ ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยล่าสุด มีสัญญานดีขึ้น แต่ต้องติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 11 ซึ่งหากเป็นไปตามคาดจะมีผลให้ปรับจีดีพีปีนี้เพิ่มขึ้นในเดือนกันยายนนี้
นายเชาว์ กล่าวว่า ปัจจัยที่น่าเป็นห่วงในครึ่งปีหลังคือเรื่องการส่งออกที่ทั้งปียังติดลบที่ร้อยละ 2 แม้ว่าตัวเลขการส่งออกเดือนมิถุนายน 2559 จะหดตัวร้อยละ 0.1 ซึ่งเป็นการหดตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ โดยครึ่งปีหลังมีโอกาสติดลบมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการที่อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit ทำให้การค้าของอังกฤษ และยุโรปชะลอตัวลง โดยต้องจับตาการเจรจาระหว่างอังกษ และยุโรป จะเกิดขึ้นเร็วหรือไม่ เพราะหากล่าช้าจะยิ่งมีผลกระทบมากขึ้น ส่วนกระแสเงินทุนไหลเข้าไทยในช่วงนี้ เป็นผลจากตลาดมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 26-27 กรกฎาคมนี้ แต่เชื่อว่าจะขึ้นดอกเบี้ยหนึ่งครั้งในปลายปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ไม่มีผลต่อความสามารถทางการแข่งขันด้านการส่งออก เพราะเงินบาทเคลื่อนไหวใกล้เคียงสกุลเงินภูมิภาค
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เรื่องของการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญจะมีผลมาก หรือน้อยต่อระบบเศรษฐกิจมาก หรือน้อยคงวิเคราะห์กันได้ยาก แต่เชื่อว่า หากประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญก็จะมีผลบวกต่อความเชื่อมั่น เพราะจะมีการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และทำให้เห็นกรอบแนวทางการบริหารประเทศที่ชัดเจนมากขึ้น
ส่วนภาพรวมการปล่อยสินเชื่อในช่วงครึ่งปีแรกก็ยังขยายตัวได้ โดยสินเชื่อของธนาคารกสิกรไทยขยายตัวได้ร้อยละ 3 และคาดว่าทั้งปีจะโตได้ร้อยละ 6-7 ตามเป้าหมาย เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐก็จะมีการขอสินเชื่อ และการขยายตัวของสินเชื่อภาคการค้าที่เติบโตตามการท่องเที่ยว ขณะที่ตัวเลขที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ยังขยายตัวแต่ในอัตราที่ชะลอลง ซึ่งคาดว่าในสิ้นปีนี้ NPL จะเริ่มนิ่ง ซึ่งทางธนาคารพาณิชย์ก็ได้มีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเรียบร้อยแล้ว