xs
xsm
sm
md
lg

ปูนกลาง ทุ่ม 1.31 หมื่นล้าน ซื้อ “โฮลซิม(ลังกา) ลิมิเต็ด”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ปูนซีเมนต์ นครหลวง ซื้อหุ้น “โฮลซิม(ลังกา) ลิมิเต็ด” และบริษัทย่อยจาก ลาฟาร์จโฮลซิม มูลค่า 1.31 หมื่นล้านบาท หรือ 373.47 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดแล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ หวังกระจายตลาดสู่ภูมิภาคอื่นด้วยการได้รับส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในศรีลังกา และสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้บริการสนับสนุนธุรกิจร่วมกัน ส่วนแหล่งเงินทุนที่นำมาใช้ซื้อหุ้นดังกล่าว มาจากวงเงินตามสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ (บีทีเอ็มยู) ระยะเวลา 1 ปี

นายศิวะ มหาสันทนะ กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปูนซีเมนต์ นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อ 22 ก.ค.59 ว่า บอร์ดอนุมัติให้ บริษัท อินทรีซีเมนต์ โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูก จะเข้าซื้อหุ้น บริษัท โฮลซิม(ลังกา) ลิมิเต็ด หรือ HLL และบริษัทย่อยของ HLL จาก ลาฟาร์จโฮลซิม จำนวน 164.07 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 98.95% คิดเป็นมูลค่ารวมของรายการดังกล่าวอยู่ที่ไม่เกิน 1.31 หมื่นล้านบาท หรือ 373.47 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นราคาต่อหุ้นที่ 79.79 บาท หรือ 2.28 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น

โดย SCCC ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นดังกล่าวกับ ลาฟาร์จโฮลซิม เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าการเข้าทำรายการจะเสร็จสมบูรณ์ภายใน 2 สัปดาห์ ภายหลังจากวันที่ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น
สำหรับ HLL เป็นผู้ผลิตปูนเม็ดเพียงรายเดียวในเขตปัตตาลัม ที่มีโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แบบครบวงจร มีกำลังการผลิต 1.3 ล้านตันต่อปี และเข้าถึงแหล่งหินปูนแต่เพียงแห่งเดียวของศรีลังกา และ HLL ยังมีโรงงานบดปูนซีเมนต์ในเขตแกลเล มีกำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี และบริหารจัดการสถานีปลายทาง 3 แห่ง ซึ่งสามารถทำการบรรจุสินค้า ณ ท่าเรือท้องถิ่น 3 แห่งในศรีลังกา โดยมีปริมาณการนำเข้า 1.6 ล้านตันต่อปี

ทั้งนี้ การซื้อหุ้นครั้งนี้จะช่วยให้ SCCC กระจายตลาดสู่ภูมิภาคอื่น ด้วยการได้รับส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในศรีลังกา และสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้บริการ สนับสนุนธุรกิจร่วมกัน รวมทั้งสร้างโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของตลาดในระยะยาว เนื่องจากศรีลังกามีปริมาณความต้องการในตลาดภายในที่เข้มแข็ง ส่วนแหล่งเงินทุนที่นำมาใช้ซื้อหุ้นดังกล่าว จะมาจากวงเงินตามสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ (บีทีเอ็มยู) โดยมีระยะเวลา 1 ปี
 
พร้อมกันนี้ SCCC แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้มีกำไรสุทธิ 1,219.47 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,406.31 ล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกบริษัทฯ สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 45% และยังคงอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษีเงินได้ ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่าย ทางการเงิน ค่าเสื่อมราคา และรายจ่ายตัดบัญชีไว้กว่า 26% แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีการแข่งขันสูง และภาวะสินค้าล้นตลาด ที่ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมถึงราคาของวัสดุก่อสร้าง

“บริษัทฯ สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานผ่านโครงการต่างๆ ด้วยการบริหารจัดการโรงงาน การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต การเพิ่มความสามารถในการต่อรองราคาวัตถุดิบ พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้รับประโยชน์ จากราคาถ่านหิน และราคาค่าไฟฟ้าที่ลดลง ส่งผลให้ธุรกิจซีเมนต์ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก มีต้นทุนราคาพลังงานที่ลดลง นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ 3 แห่ง เพื่อเพิ่มช่องทางของรายได้ ได้แก่ บริษัท เซเม็กซ์ ซีเมนต์ (บังกลาเทศ) จำกัด เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สยามซิตี้ซีเมนต์ (บังกลาเทศ) จำกัด บริษัท เซเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ปูนซีเมนต์ ตราลูกโลก จำกัด และการเข้าซื้อสินทรัพย์ และกิจการบางส่วนของบริษัท วาเลนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้บริการทำความสะอาดสำหรับอุตสาหกรรม ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ บริษัทฯ สามารถทำยอดขายสุทธิที่ 16,043 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 2,581 ล้านบาท และสามารถจ่ายปันผลระหว่างกาลสำหรับ 6 เดือนแรก ประจำปี 2559 ให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็นเงิน 8 บาท ต่อหุ้นรวมเป็นเงิน 1,840 ล้านบาท” นายศิวะ กล่าว

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในรายธุรกิจนั้น มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจปูนซีเมนต์มีการ ขยายตัวในระดับภูมิภาคจากแผนส่งเสริมการขยายธุรกิจโรงงานปูนซีเมนต์ ที่บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัทใน ประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จตรงตามกำหนดเวลา รวมทั้งความสำเร็จจากการเข้าซื้อกิจการบริษัท เซเม็กซ์ ซีเมนต์ (บังกลาเทศ) จำกัด และบริษัท เซเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ส่งผลให้รายได้สุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นทันที 260 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจคอนกรีตผสมเสร็จ และอะกรีเกต ซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท นครหลวงคอนกรีต จำกัด ภายใต้ชื่อ อินทรีคอนกรีต และ อินทรีอะกรีเกต มีปริมาณการขายของอินทรีคอนกรีต เพิ่มขึ้น 1% แม้รายได้จะลดลงเล็กน้อย ซึ่งมีผลกระทบส่วนใหญ่มาจากความกดดันด้านราคาในตลาด โดยเฉพาะผู้เล่นในตลาดคอนกรีตผสมเสร็จ ที่ลดราคาลงโดยมีจุดประสงค์เพื่อปิดการขาย อินทรีอะกรีเกต มีการขยายตัวด้านปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 11% ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยได้รับอานิสงส์จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของหินขนาดใหญ่ (ขนาด 20-40 มิลลิเมตร และ 50-80 มิลลิเมตร) จากโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมของกรมโยธาธิการ และผังเมืองซึ่งอยู่ในเขตภาคกลางเป็นส่วนใหญ่

ด้านผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบา ซึ่งจำหน่ายภายใต้ชื่อ อินทรีซุปเปอร์บล๊อก และดำเนินงานโดย บริษัท อินทรีซุปเปอร์บล๊อก จำกัด มียอดขายของเพิ่มขึ้นในอัตรา 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการมุ่งเน้นการขายไปที่สินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น ทับหลังสำเร็จรูป และผนังสำเร็จรูปเสริมแรงที่มีน้ำหนักเบา การแนะนำอินทรีซุปเปอร์บล๊อกพลัส และการเจาะตลาดผ่านการขายควบคู่ไปกับปูนซีเมนต์ ปูนมอร์ตาร์ และคอนกรีตผสมเสร็จ นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังคงจัดลำดับความสำคัญกับสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น ทับหลังสำเร็จรูป และผนังสำเร็จรูปเสริมแรงที่มีน้ำหนักเบา เคาน์เตอร์ และบริษัทฯ ยังมองหาโอกาสทางธุรกิจในตลาดตกแต่งอีกด้วย

ส่วนผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้สำหรับตกแต่ง ภายใต้ชื่อ คอนวูด ได้ออกกลยุทธ์ขยายช่องทาง และโอกาสทางธุรกิจ โดยเน้นการทำการตลาดทั้งในประเทศ และในภูมิภาคเอเชีย ผ่านสถาปนิก และผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สนใจผลิตภัณฑ์สำหรับตกแต่งทั้งภายนอก และภายใน นอกเหนือจากนั้น คอนวูด ยังสร้างสรรค์สินค้าหลากหลายดีไซน์ และการใช้สอยเพื่อตอบโจทย์ตลาดที่อยู่อาศัยกับผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายหลักอีกด้วย โดย บริษัท พีที คอนวูด อินโดนีเซีย จำกัด มียอดขายที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ก็ยังเผชิญกับสถานการณ์ตลาดต่างประเทศที่ท้าทาย ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ธุรกิจการส่งออกยังคงมุ่งเน้นไปที่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และตะวันออกกลาง

ธุรกิจบริหารจัดการของเสียอย่างครบวงจร โดย บริษัท อินทรีอีโคไซเคิล จำกัด ได้ขยายขอบข่ายงาน บริการครบวงจรด้วยการนำเสนอบริการอุตสาหกรรม ผ่านการเข้าซื้อบริษัท วาเลนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นกิจการด้านการให้บริการทำความสะอาดอุตสาหกรรม ซึ่งการเข้าซื้อในครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีในการขยายขอบเขตงานบริการให้แก่ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน และเป็นการเพิ่มศักยภาพการให้บริการอุตสาหกรรมด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเทคนิคการจัดการทำให้บริษัทฯ มีความโดดเด่นในธุรกิจบริการด้านการบริหาร จัดการของเสีย และการบริการให้กับกลุ่มอุตสาหกรรม

สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อสร้างในปีนี้ยังคงทรงตัว เนื่องจากการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภค ขนาดใหญ่ของรัฐบาลยังคงมีความไม่แน่นอน ขณะที่การลงทุนจากภาคเอกชนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมบ่งชี้ว่า ตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศมีการเติบโตที่ 18 ล้านตัน ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และจะยังคงทรงตัวในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าการใช้ปูนซีเมนต์ทั้งปี 2559 จะเติบโตอยู่ที่ 2-3% ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่มาจากการกำลังซื้อในภูมิภาค นอกจากนั้น การลงทุนของรัฐบาลยังไม่ได้กระตุ้นความต้องการปริมาณการใช้คอนกรีตในครึ่งปีแรกของปีเท่าที่คาดการณ์ไว้ มีเพียงโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบลในโครงการต่างจังหวัด (5 ล้านบาทต่อตำบล) ที่สามารถกระตุ้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในช่วงเดือนมกราคมถึงต้นเดือนเมษายน และยังส่งผลเชิงบวกต่อยอดขายคอนกรีตผสมเสร็จ โดยเฉพาะวัสดุสำหรับใช้ถม

พร้อมกันนี้ บริษัทได้แจ้งการจ่ายเงินปันผลอัตราหุ้นละ 8 บาท และกำหนดจ่ายวันที่ 19 สิงหาคม 59


กำลังโหลดความคิดเห็น