ผู้ว่าการ ธปท. ชี้ อัตราการว่างงานของไทยที่เพิ่มเกิน 1% ยังไม่น่าเป็นห่วง พร้อมจับตาเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน และติดตามพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเป็นผลจากภาวะ ดบ.ที่อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ทำให้นักลงทุนอาจจะประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจทำให้เกิดความเปราะบางต่อ ศก.โดยรวม และสถาบันการเงิน ยอมรับได้ตั้งกลุ่มงานด้านเสถียรภาพระบบการเงินขึ้น เพื่อติดตามความเปราะบางของระบบการเงินไทย รวมถึงความเสี่ยงของ ศก.ทั้งภายใน และภายนอกประเทศ ตลอดจนการนำเครื่องมือทางการเงินมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) เปิดเผยว่า อัตราการว่างงานของไทยที่เพิ่มกว่าร้อยละ 1 จากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 0.9 ยังไม่น่ากังวล โดยอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นมาจาก 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มแรงงานภาคการเกษตรที่เกิดปัญหาภัยแล้ง และกลุ่มบัณฑิตจบใหม่ ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ตรงกับความต้องการของผู้ว่าจ้าง ขณะที่การจ้างงานในภาคบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนภาคอุตสาหกรรมทยอยฟื้นตัวดีขึ้น
ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินไทยขณะนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยสถาบันการเงินมีเงินสำรอง และเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับคุณภาพสินเชื่อจะด้อยลงจากเศรษฐกิจกิจที่ฟื้นตัวช้า รวมถึงปัจจัยเสี่ยงด้านต่างประเทศได้
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความเสี่ยงความไม่แน่นอนจากปัจจัยอื่นๆ เช่น การดำเนินนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ผลที่จะเกิดจากอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ที่มีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนให้มีความผันผวนมากขึ้น จากเงินไหลเข้า-ออกของเงินทุนต่างชาติ และความเสี่ยงภาคการเงินของจีน
ดังนั้น ภาคเอกชนจึงต้องปิดความเสี่ยง นอกจากนี้ ยังต้องติดตามพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นผลจากภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ทำให้นักลงทุนอาจจะประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจทำให้เกิดความเปราะบางต่อสถาบันการเงิน และเศรษฐกิจโดยรวม
ทั้งนี้ ธปท.ได้จัดตั้งกลุ่มงานด้านเสถียรภาพระบบการเงินขึ้น เพื่อติดตามความเปราะบางของระบบการเงินไทย รวมถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจภายใน และภายนอกประเทศ ตลอดจนการนำเครื่องมือทางการเงินมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ