บล.เอเชีย เวลท์ มองกรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,420-1,461 ลุ้นแบงก์กลางนานาชาติออกแผนรับมือ Brexit เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรป และความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตทางการเงิน ขณะที่ตลาดฯ มองว่า เฟดจะยังไม่ขึ้น ดบ.ในเดือนนี้ และน่าจะขึ้นเพียงครั้งเดียวในปีนี้ จากเหตุผลดังกล่าวทำให้เม็ดเงินไหลกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้น ซึ่งส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นไทย
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ คาดว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะเป็นบวกได้ โดยทาง Technical คาดว่า จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,420-1,461 จุด ขณะที่ตลาดตีความว่า การที่อังกฤษจะถอนตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) นั้น บรรดาธนาคารกลางทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มอีก เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรป และความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตทางการเงิน
ล่าสุด ตลาดมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้ และน่าจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งเดียวในปีนี้ จากเหตุผลดังกล่าวทำให้เม็ดเงินไหลกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้น ซึ่งส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นไทยด้วย
ด้านปัจจัยกระทบตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ ต้องติดตามมุมมองเศรษฐกิจจากรายงานการประชุมของเฟด และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ผ่านมา และในวันศุกร์นี้ (8 ก.ค.) ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm payroll) ของสหรัฐฯ จะประกาศออกมา ซึ่งคาดว่าจะออกมาเป็นบวกต่อตลาด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ และมีการเติบโตที่ชัดเจน
นายวรุตม์ กล่าวอีกว่า สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้แนะนำหุ้น บมจ.เอแอลที เทเลคอม (ALT) โดยเชื่อว่า เป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดรายหนึ่งจากการติดตั้ง และก่อสร้างเครือข่าย 4G และความนิยมเครือข่ายโซเชียล และการใช้อินเทอร์เน็ตที่มากขึ้น
ขณะที่ค่ายมือถือแข่งขัน และอาจเจ็บตัวจากการแข่งขันด้านราคา การลงทุนรวมถึงค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่มากขึ้น จากเงินลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อยกระดับคุณภาพสัญญาณมือถือ ALT กลับได้ประโยชน์จากการแข่งขันรุนแรงครั้งนี้ ยิ่งแข่งกันแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งมีอุปสงค์ต่ออุปกรณ์เครือข่ายโทรคมนาคม และบริการดูแลรักษาเท่านั้น
นอกจากนี้ ALT ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับค่ายมือถือแต่ละค่าย จึงน่าจะได้ดีลอย่างต่อเนื่อง และทำให้กระแสรายได้ก็น่าจะต่อเนื่องตามกัน บริษัทได้ประสบความสำเร็จในการยึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีบริการน้ำมัน เส้นทางคมนาคมสำคัญ และตามรางรถไฟ รวมถึงบริเวณใจกลางเมือง
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีโอกาสอีกมากในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ขณะที่ราคาหุ้นยังมีอัปไซด์เพิ่มได้อีกจากโอกาสชนะคดีที่เกี่ยวกับโครงการใยแก้วนำแสงในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช