“แสนสิริ” เดินหน้าเปิดคอนโดฯ ครึ่งปีหลัง 7 โครงการ มูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาท มั่นใจเศรษฐกิจกระเตื้องกำลังซื้อฟื้นหลังจากชะลอมาเกือบ 2 ปี เผยชะลอแผนลงทุนคอนโดฯ ในต่างจังหวัด หลังตลาดยังไม่ฟื้น พร้อมเร่งระบายสต๊อกคอนโดฯ ในมือกว่า 6,000 ล้านบาท อยู่ในต่างจังหวัดถึง 90%
นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2559 เชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ภาครัฐมีความชัดด้านการลงทุนในโครงการสร้างพื้นฐานที่มีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณออกมา ส่วนต้นทุนวัสดุก่อสร้างยังทรงตัว จากราคาน้ำมันยังไม่ปรับขึ้น ทำให้คาดการณ์ว่ากำลังซื้อจะกลับมา หลังจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ หลังจากที่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ โดยทำเลที่ยังคงเป็นที่ต้องการ ต้องมีการคมนาคมที่สะดวก โดยเฉพาะแนวเส้นทางรถไฟฟ้า
“ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ตลาดคอนโดฯ ค่อนข้างซบเซา ผู้บริโภคมีการชะลอการตัดสินใจซื้อจากความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจมีสัญญาณที่ดีขึ้น คิดว่ากำลังซื้อส่วนนี้กลับมา หลังจากอั้นมาเกือบ 2 ปี นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักลงทุนที่มองหาการลงทุนใหม่ หลังจากดอกเบี้ยต่ำ ตลาดทองผันผวน” นายอุทัย กล่าว
จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนเปิดโครงการคอนโดฯ ตามแนวรถไฟฟ้า 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 22,0000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่พัฒนาภายใต้แสนสิริเพียง 1 โครงการ ส่วนที่เหลืออีก 6 โครงการ เป็นการพัฒนาภายใต้บริษัทร่วมทุนระหว่างบีทีเอส กรุ๊ป ซึ่งมีที่ดินรองรับหมดแล้ว ได้แก่ ทำเลย่านประดิพัทธ์ วงศ์สว่าง ทองหล่อ พระราม 9 พหลโยธิน และเพชรบุรี จากแผนเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ทั้งปี 11 โครงการ มูลค่าราว 30,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนการลงทุนปีนี้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทเปิดแล้ว 4 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการร่วมทุน ปัจจุบันพัฒนาไปแล้ว 3 โครงการ อยู่ระหว่างเปิดขายอีก 1 โครงการ ได้แก่ เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา จากเป้าหมาย 5 ปี ร่วมลงทุน 25 โครงการ มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งถึงสิ้นปีนี้จะได้ 10 โครงการ นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินรองรับการพัฒนาอีก 15 แปลง
โครงการ “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” เป็นการร่วมทุนโครงการล่าสุด โครงการที่ 4 โดยพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม บนพื้นที่ 2 ไร่ สูง 38 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 473 ยูนิต ขนาดพื้นที่ 27.50-50.25 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,800 ล้านบาท ทั้งนี้ จะเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 25-26 มิ.ย.นี้ และคาดว่าจะปิดขายได้ 100% ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทได้นำโครงการไปโรดโชว์ให้แก่กลุ่มลูกค้าต่างชาติ เมื่อวันที่ 11-12 มิ.ย.ที่ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และจีน ปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก สามารถทำยอดขายได้กว่า 1,000 ล้านบาท หรือ 30% ของยูนิตทั้งหมด
นายอุทัย กล่าวต่อว่า สำหรับตลาดคอนโดฯ ในต่างจังหวัดยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง มีเพียง 3 จังหวัดท่องเที่ยวที่ยังคงมีความต้องการ คือ เชียงใหม่ หัวหิน และภูเก็ต ส่วนตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือชะลอตัวอย่างมาก เนื่องจากคนท้องถิ่นยังนิยมอยู่บ้านเดี่ยวมากกว่า ดังนั้น บริษัทจึงชะลอการลงทุนคอนโดฯ ในต่างจังหวัดไปก่อนจนกว่าตลาดจะฟื้นตัว หลังจากชะลอการลงทุนมาแล้ว 2-3 ปี
สำหรับโครงการคอนโดฯ ในต่างจังหวัดของบริษัทมีสต๊อกเหลือขายประมาณ 5,400 ล้านบาท หรือ 90% ของสต๊อกทั้งหมด 6,000 ยูนิต ได้แก่ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย หัวหิน สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต พัทยา ขอนแก่น อุดรธานี และเขาใหญ่ ส่วนใหญ่ราคาเฉลี่ยประมาณกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะเร่งระบายสต็อกดังกล่าวด้วยการจัดแคมเปญ และกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องในทุกโครงการ ซึ่งคาดว่าจะสามารถระบายสต๊อกดังกล่าวออกไปได้หมดภายใน 2 ปี
ส่วนผลการดำเนินงานของโครงการคอนโดมิเนียมช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มียอดขายแล้วกว่า 8,000 ล้านบาท คาดว่าในครึ่งปีแรกจะมียอดขายที่ 12,000 ล้านบาท โดยคาดว่าทั้งปีจะมียอดขายเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่ 28,000 ล้าบาท และมีเป้ายอดโอน 20,000 ล้านบาท
