หัวหน้าทีม ศก.ปลื้มเวิลด์แบงก์ปรับเพิ่ม GDP ไทยปีนี้ ถือเป็นการปรับขึ้นสวนทาง ศก.โลกที่ยังทรุดตัว เผยเป็นเรื่องที่น่าดีใจ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ธนาคารโลกจะปรับการเติบโต ศก.ประเทศใดขึ้นง่ายๆ แต่ก็อย่าพอใจแค่นี้ ซึ่งหัวใจสำคัญอยู่ที่การวางรากฐานในอนาคต และต้องเน้นในเรื่องของการผลักดันการปฏิรูป
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรณีธนาคารโลก (World Bank) รายงานภาวะเศรษฐกิจโลกรอบครึ่งปี และปรับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2% โดยมองว่า เป็นเรื่องน่าดีใจที่ธนาคารโลกได้ปรับจีดีพีของไทยในปีนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งนับเป็นเพียงประเทศเดียวในแถบเอเชียตะวันออก และแปซิฟิก ที่ได้รับการปรับจีดีพีเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมในเดือน ม.ค.59
แต่อย่างไรก็ดี ประเทศไทยคงจะไม่ประมาท เพราะขณะเดียวกัน ธนาคารโลกได้ปรับลดจีดีพีของโลกในปีนี้ลงเหลือ 2.4% จากเดิม 2.9% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกยังทรงกับทรุด และในระยะสั้นคงยังไม่ฟื้นตัวเร็ว
ทั้งนี้ ยอมรับว่าอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของไทยในอาเซียนอยู่ในอัตราการเติบโตที่ต่ำมานานหลายปี และครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เริ่มปรับตัวขึ้นมาสวนต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก ซึ่งต้องประคองไม่ให้เศรษฐกิจทรุดตัวลง โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่การวางรากฐานในอนาคต และต้องเน้นในเรื่องของการผลักดันการปฏิรูป
“ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ตกต่ำมาก และในปีนี้ก็เริ่มปรับตัวดีขึ้น และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ธนาคารโลกจะปรับการเติบโตเศรษฐกิจประเทศใดขึ้นง่ายๆ แต่ก็อย่าพอใจแค่นี้ ซึ่งเชื่อว่า หากบ้านเมืองสงบ เศรษฐกิจจะเจริญเติบโต และต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงประเทศในกลุ่มอาเซียนมีเศรษฐกิจที่ดีก็จะยิ่งทำให้ไทยได้รับผลประโยชน์ เพราะว่าไทยถือเป็นศูนย์กลางของอาเซียน”
อย่างไรก็ตาม การที่มีสัญญาณทางด้านเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่ประชาชนในระดับล่างยังมีรายได้ที่น้อยอยู่ จึงจำเป็นต้องช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น เพราะจะส่งผลดีทำให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น และจะมีส่วนช่วยในการเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้น
รองนายกรัฐมนตรี ยังเชื่อว่า ในช่วงนี้สหรัฐฯ คงยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัวมาตั้งแต่ปี 2008 เพราะสหรัฐฯ ใช้วิธีการอัดฉีดเม็ดเงินเพียงอย่างเดียว และนักธุรกิจเองก็ยังไม่มั่นใจในเศรษฐกิจของประเทศ เช่นเดียวกันในประเทศแถบยุโรป ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว ขณะที่กลุ่มที่พอมีความหวังในการเติบโตทางเศรษฐกิจ คือ กลุ่มประเทศเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน ที่ต่างหวังว่าอย่าให้เศรษฐกิจในประเทศจีนทรุดตัว
อย่างไรก็ดี ไทยจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาตัวเอง ซึ่งรัฐบาลมีแนวคิดที่จะให้การช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ต้องการเม็ดเงินไปพัฒนาธุรกิจ โดยจะใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการขับเคลื่อน โดยจะนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
นอกจากนี้ ในส่วนของฤดูกาลผลิตใหม่ของเกษตรกร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้สูงขึ้น เพราะนายกรัฐมนตรีเห็นความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจ