บอร์ด “โรงพิมพ์ตะวันออก” อนุมัติ “อีสเทิร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป” เข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติ กำลังการผลิต 360 เมกะวัตต์ ระบุเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา COD แล้ว 120 MW ส่วนที่เหลืออีก 240 MW เตรียม COD ภายในเดือน ก.ย.นี้ มูลค่าลงทุน 2.6 พันล้านบาท “ยุทธ ชินสุภัคกุล” เผยได้เป็นเจ้าของเมื่อไหร่รับรู้รายได้เข้ากระเป๋า สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นทันที เตรียมดัน EP เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงปลายปี 2559 นี้
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EPCO) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 4/2559 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2559 ได้มีมติอนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาการเข้าทำรายการเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งทางตรง และทางอ้อม ในสัดส่วนร้อยละ 49.50 ของ บริษัท พีพีทีซี จำกัด (PPTC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ระบบ Cogeneration กำลังการผลิตสูงสุดรวมประมาณ 120 MW และไอน้ำกำลังการผลิตสูงสุดรวมประมาณ 30 ตันต่อชั่วโมง ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ซึ่งในปัจจุบัน PPTC ก่อสร้างโรงไฟฟ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้เริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติให้ทำรายการเข้าซื้อหุ้นสามัญทางอ้อมในสัดส่วนร้อยละ 30 ของบริษัท เอสเอสยูที จำกัด (SSUT) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ระบบ Cogeneration กำลังการผลิตสูงสุดรวมประมาณ 240 MW และไอน้ำกำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 60 ตันต่อชั่วโมง ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จ และเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประมาณเดือนกันยายน 2559
การเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติทั้ง 2 โครงการ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 2,649.68 ล้านบาท โดยลงทุนผ่านบริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ EPCO โดยถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 78.06 โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ดิสคัฟเวอร์ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ DISCOVER เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อให้ความเห็นต่อการเข้าทำรายการ
สำหรับแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในการลงทุนครั้งนี้จะมาจากเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนของ EP จำนวน 750.00 ล้านบาท รวมถึงการออก และเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ และ/หรือ EP โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท
“บริษัทฯ คาดว่าการเข้าซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะช่วยส่งเสริม และสร้างความเติบโตของรายได้ที่มั่นคงให้แก่บริษัทฯ ในอนาคต ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกำไร และกระแสเงินสดกลับมายังบริษัทฯ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และในท้ายที่สุดจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในระยะยาว และจากการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติ กำลังการผลิต 360 เมกะวัตต์ในครั้งนี้ ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 425 เมกะวัตต์ และเรามีแผนที่จะนำบริษัทลูก คือ EP ระดมทุน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นภายในปี 2559 นี้ พร้อมทั้งได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า ภายในปี 2561 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 600 เมกะวัตต์”
นอกจากนี้ ยังได้แจ้งยกเลิกแผนการการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์ม ในประเทศญี่ปุ่น จากกำลังการผลิตที่เคยแจ้งไปทั้งหมด 48 เมกะวัตต์ โดยโครงการที่ขอยกเลิก ประกอบด้วย โครงการ Shirakata กำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 5.336 เมกะวัตต์ และโครงการ Genbi กำลังการผลิตไฟฟ้า 10 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น 15.336 เมกะวัตต์ เนื่องจากติดปัญหาจากพันธมิตรที่ไม่สามารถจัดหาที่ดิน และใบอนุญาตให้ได้ตามสัญญา จึงจำเป็นต้องทำการยกเลิกแผนการลงทุนดังกล่าวไป โดยบริษัทฯ ยังไม่ได้ลงทุนในโครงการดังกล่าวใดๆ ทั้งสิ้น