ผู้ถือหุ้น “โรงพิมพ์ตะวันออก” อนุมัติเข้าลงทุน 2 โรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติ ขนาดกำลังการผลิต 360 MW มูลค่ากว่า 2.6 พันล้านบาท พร้อมยกเลิกแผนลงทุนโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่น 15 MW หลังโครงการไม่คืบ ผู้บริหารมั่นใจแผนขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าหนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมดัน “อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป” เข้าจดทะเบียนปี 60
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EPCO เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าซื้อหุ้นสามัญ ทั้งทางตรง และทางอ้อม ในสัดส่วน 49.50% ของ บริษัท พีพีทีซี จำกัด (PPTC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ระบบ Cogeneration กำลังการผลิตสูงสุดรวมประมาณ 120 เมกะวัตต์ และไอน้ำกำลังการผลิตสูงสุดรวมประมาณ 30 ตันต่อชั่วโมง ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ซึ่งในปัจจุบัน PPTC ก่อสร้างโรงไฟฟ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้เริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติให้ทำรายการเข้าซื้อหุ้นสามัญทางอ้อม ในสัดส่วน 30% ของ บริษัท เอสเอสยูที จำกัด (SSUT) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ระบบ Cogeneration กำลังการผลิตสูงสุดรวมประมาณ 240 เมกะวัตต์ และไอน้ำกำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 60 ตันต่อชั่วโมง ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จ และเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประมาณเดือนกันยายน 2559
โดยการเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติทั้ง 2 โครงการ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 2,649.68 ล้านบาท โดยลงทุนผ่าน บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ EPCO โดยถือหุ้นในสัดส่วน 78.06% โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ดิสคัฟเวอร์ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ DISCOVER เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อให้ความเห็นต่อการเข้าทำรายการ
สำหรับแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในการลงทุนครั้งนี้ จะมาจากเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนของ EP จำนวน 750 ล้านบาท รวมถึงการออก และเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ และ/หรือ EP โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท
การเข้าซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะช่วยส่งเสริม และสร้างความเติบโตของรายได้ที่มั่นคงให้แก่บริษัทฯ ในอนาคต ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกำไร และกระแสเงินสดกลับมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว และในท้ายที่สุดจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในระยะยาว และจากการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติ กำลังการผลิต 360 เมกะวัตต์ ในครั้งนี้ ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 425 เมกะวัตต์ ก่อนที่จะนำบริษัทลูก คือ EP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2560 และตั้งเป้าหมายกุมกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2561
นอกจากนี้ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นยังได้อนุมัติยกเลิกแผนการการลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น จากกำลังการผลิตที่เคยแจ้งไปทั้งหมด 48 เมกะวัตต์ โดยโครงการที่ขอยกเลิกประกอบด้วย โครงการ Shirakata 1-3 กำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 5.336 เมกะวัตต์ และโครงการ Genbi กำลังการผลิตไฟฟ้า 10 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น 15.336 เมกะวัตต์ เนื่องจากติดปัญหาจากพันธมิตรที่ไม่สามารถจัดหาที่ดิน และใบอนุญาตให้ได้ตามสัญญา จึงจำเป็นต้องทำการยกเลิกแผนการลงทุนดังกล่าวไป โดยบริษัทฯ ยังไม่ได้ลงทุนในโครงการดังกล่าวใดๆ ทั้งสิ้น