อาซีฟา โกยรายได้กว่า 622.82 ล้านบาท กำไรพุ่ง 115% เผยล่าสุด มีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ประมาณ 1,700 ล้านบาท คาดทยอยรับรู้รายได้ในปี 59-60 และอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่องหนุนงานในมือเพิ่มขึ้น รวมทั้งกำลังการผลิตเพิ่มจากการย้ายฐานการผลิตจากบางบอน มารวมที่โรงงานใหม่ สมุทรสาคร หนุนรายได้ทั้งปีเติบโตแข็งแกร่งตามเป้าหมาย 15-20%
นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวดไตรมาส 1/2559 มีกำไรสุทธิ 63.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.90 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 114.83% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 29.52 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น 159.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.50 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 25.53% เพิ่มขึ้น 4.63% เนื่องจากบริษัทฯ มีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้ดี ขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 622.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21.06% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายจากการขายและบริการอยู่ที่ 514.46 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเป็นผู้ผลิตเอง และสวิตช์บอร์ดไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 135.89 ล้านบาท หรือคิดเป็น 43.92% รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อเพิ่มขึ้น 27.65 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.25% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายการลงทุนในโครงการต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนที่เพิ่มขึ้น
“เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ การเติบโตเป็นไปตามฤดูกาล แต่งาน และ Backlog ของบริษัทฯ ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี โดยปัจจุบันมีงานที่รอรับรู้รายได้อยู่ในมือประมาณ 1,700 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2559-2560 และอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยหนุนงานในมือเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเพิ่มรายได้จากการเปิดสาขาในต่างจังหวัด และกำลังการผลิตเพิ่มจากการขยาย และรวมโรงงานมาไว้ที่เดียวกันกับโรงงานแห่งใหม่ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มกำลังการผลิตได้มากขึ้น” นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 2/2559 คาดว่ายังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วงครึ่งปีหลังโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 จะเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าผลการดำเนินงานปี 2559 ยังเติบโตต่อเนื่องตามเป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้เติบโต 15-20% จากปีที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นของงานในกลุ่มธุรกิจเดิมเป็นหลัก รวมถึงการรับรู้รายได้จากส่วนที่เหลือของโครงการรื้อถอนโรงไฟฟ้า และคาดว่ามาร์จิ้นจะดีขึ้น เนื่องจากแนวโน้มของราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้น
“ทิศทางของอุตสาหกรรมที่มีความต้องการไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมสื่อสารศูนย์ข้อมูล Data Center ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโต และเรามีผลงานมากมาย กลุ่มธุรกิจลงทุนโครงการพื้นฐานของประเทศ เช่น โครงการรถไฟฟ้าใน กทม. และปริมณฑล และคาดว่าจะมีการขยายไปยังต่างจังหวัดอีก ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มีการรับงานรถไฟฟ้าสายสีแดงบางส่วนเพิ่ม ต่อจากสายสีม่วง สีน้ำเงิน และสายสีเขียว แผนการพัฒนาและนำสายไฟลงใต้ดินใน กทม. และจังหวัดใหญ่ กลุ่มโรงไฟฟ้าทั้งของรัฐบาล และเอกชน รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทฯ ยังมีการรับงาน และมีการประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง กลุ่มพัฒนาระบบสาธารณสุขทั้งภาครัฐ และเอกชนที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนการลงทุนและพัฒนาธุรกิจ และพันธมิตรใหม่ที่เกี่ยวข้องต่อธุรกิจที่บริษัทฯ มีความพร้อม และเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสร้างโอกาสเติบโตให้แก่บริษัทฯ ในอนาคต และสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง” นายไพบูลย์ กล่าว