แอร์โรว์ ซินดิเคท ไตรมาสแรกกำไรแตะ 69.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 62.16 ล้านบาท เหตุบริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ธานินทร์ ตันประวัติ” ระบุช่วงที่เหลือของปีนี้ภาพรวมธุรกิจยังขยายตัวได้ดีตามภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างในอาคารยังถูกผลักดันอย่างต่อเนื่อง พร้อมตอกย้ำยังมุ่งหน้าเจาะตลาดใหม่ๆ เพิ่มทั้งใน และต่างประเทศ หนุนรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 1,400 ล้านบาท
นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (ARROW) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2559 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 ของบริษัท และบริษัทย่อยว่า มีกำไรสุทธิ จำนวน 69.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 62.16 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 12% เนื่องจากบริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในส่วนของต้นทุนขายและบริการเท่ากับ 197.99 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 217.06 ล้านบาท ด้านดอกเบี้ยจ่ายลดลงจาก 0.49 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 0.29 ล้านบาท ขณะที่กำไรก่อนหักภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นเป็น 80.76 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 72.33 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 112.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 97.25 % ขณะที่ส่วนของรายได้จากการขาย 297.02 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 303.31 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเชื่อว่าแนวโน้มธุรกิจของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทจะพยายามรักษาอัตราการเติบโตให้แข็งแกร่งมากกว่าที่เป็นอยู่ โดยจะเน้นขยายธุรกิจงานท่อร้อยสายไฟ ท่อกันน้ำ และท่อร้อยสายไฟใต้ดินตามความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น โดยตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ท่อร้อยสายไฟภายในประเทศแตะที่ระดับ 65% จากปัจจุบันอยู่ที่ 55% และยังคงเน้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นหลัก รวมถึงการลดต้นทุนในการผลิตเพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 25-30% และผลักดันรายได้ให้เติบโตตามเป้าที่ตั้งไว้ คือ ไม่ต่ำกว่า 1,400 ล้านบาท
“แม้ยอดขายจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่จากการที่บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้กำไรสุทธิไตรมาสแรกปีนี้เติบโตอยู่ในทิศทางที่ดี ซึ่งถือว่ามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทจะยังคงทำผลงานให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยมุ่งเน้นลดต้นทุนในการผลิต และหางานใหม่ๆ ทั้งจากภาครัฐ และเอกชนเข้ามาเติมเพื่อต่อยอดงานในมือ (Backlog) ให้เพิ่มสูงขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 240 ล้านบาท” นายธานินทร์ กล่าว