กรรมการกำกับกิจการพลังงานประกาศผลโซลาร์ฟาร์ม พบผ่านคัดเลือก 67 ราย กำลังผลิตรวม 281.32 เมกะวัตต์ เตรียมนำรายชื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ กกพ.นัดพิเศษ 25 เม.ย.นี้ เพื่อประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ 26 เดือนเดียวกัน ขณะผู้ที่ได้รับคัดเลือกต้องทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนจำหน่ายภายใน 120 วัน และต้องก่อสร้างโรงไฟฟ้า และจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายใน 31 ธ.ค.59 โดยมีอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี ในอัตราค่าไฟฟ้า FiT ที่ 5.66 บาท/หน่วย
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และโฆษก กกพ. กล่าวว่า คณะกรรมการคัดเลือกประกาศผลการจับสลากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) สำหรับหน่วยงานภาคการเกษตรในวันนี้ พบว่า มีผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 67 ราย กำลังการผลิตรวม 281.32 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพื้นที่ภาคกลาง 25 ราย รวม 108.2 เมกะวัตต์ ภาคตะวันตก 18 ราย รวม 76 เมกะวัตต์ ภาคตะวันออก 17 ราย รวม 70.47 เมกะวัตต์ ภาคเหนือ 1 ราย กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ และพื้นที่การไฟฟ้านครหลวง 6 ราย รวม 21.65 เมกะวัตต์
สำหรับกำลังการผลิตที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมดในรอบนี้มีเพียง 281.2 เมกะวัตต์ จากที่จะรับซื้อทั้งหมด 300 เมกะวัตต์ ทำให้มีกำลังการผลิตคงเหลือ ซึ่งจะนำไปรวมกับการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ระยะที่ 2 เป็นจำนวนรวมกว่า 500 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นหน่วยงานราชการ 400 เมกะวัตต์ และส่วนที่เหลือกว่า 100 เมกะวัตต์เป็นของหน่วยงานสหกรณ์ภาคการเกษตร เบื้องต้น คาดว่าจะสามารถประกาศรับซื้อไฟฟ้าระยะที่ 2 ได้ในราวปลายปีนี้ ถึงต้นปีหน้า
หลังจากนี้ สำนักงาน กกพ.จะนำรายชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในวันนี้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ กกพ.นัดพิเศษในวันที่ 25 เม.ย. เพื่อประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 เม.ย.นี้ โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนจำหน่ายภายใน 120 วัน และต้องก่อสร้างโรงไฟฟ้า และจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในวันที่ 31 ธ.ค.59 โดยมีอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี ในอัตราค่าไฟฟ้า FiT ที่ 5.66 บาท/หน่วย
ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับการคัดเลือกจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบริษัทผู้สนับสนุนโครงการได้ และภายใน 3 ปีสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ของผู้สนับสนุนโครงการจะต้องไม่ต่ำกว่า 50%
อนึ่ง กกพ.ออกประกาศ และหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าโครงการโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการฯ ไม่เกิน 800 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรกจะรับซื้อ จำนวน 600 เมกะวัตต์ ซึ่งมีผู้ผ่านคุณสมบัติเข้าร่วมจับสลากในวันนี้ จำนวน 167 ราย กำลังการผลิตรวม 798.62 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นกลุ่มสหกรณ์ภาคการเกษตรทั้งหมด ขณะที่กลุ่มข้าราชการถูกตัดสิทธิในรอบนี้ เพราะขัดหลักเกณฑ์ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ) ทำให้การจับสลากระยะแรกจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 300 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโควตาของกลุ่มสหกรณ์ภาคการเกษตรเท่านั้น
ส่วนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายแห่งได้ยื่นเป็นผู้สนับสนุนโครงการของกลุ่มสหกรณ์ภาคการเกษตร ยกตัวอย่างเช่น บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) ซึ่งในวันนี้สามารถจับสลากได้ 3 โครงการ รวม 12 เมกะวัตต์ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.อ่างทอง
ขณะที่ บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) จับสลากได้ 2 โครงการ รวม 6 เมกะวัตต์ จากที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาทั้งหมด 3 โครงการ บมจ.โซลาร์ตรอน (SOLAR) จับสลากได้ 3 โครงการ รวม 9 เมกะวัตต์ จากที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามา 10 โครงการ รวม 50 เมกะวัตต์ ขณะที่ บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) จับสลากได้ 1 โครงการ รวม 5 เมกะวัตต์ จากที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามา 2 โครงการ เป็นต้น
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และโฆษก กกพ. กล่าวว่า คณะกรรมการคัดเลือกประกาศผลการจับสลากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) สำหรับหน่วยงานภาคการเกษตรในวันนี้ พบว่า มีผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 67 ราย กำลังการผลิตรวม 281.32 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพื้นที่ภาคกลาง 25 ราย รวม 108.2 เมกะวัตต์ ภาคตะวันตก 18 ราย รวม 76 เมกะวัตต์ ภาคตะวันออก 17 ราย รวม 70.47 เมกะวัตต์ ภาคเหนือ 1 ราย กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ และพื้นที่การไฟฟ้านครหลวง 6 ราย รวม 21.65 เมกะวัตต์
สำหรับกำลังการผลิตที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมดในรอบนี้มีเพียง 281.2 เมกะวัตต์ จากที่จะรับซื้อทั้งหมด 300 เมกะวัตต์ ทำให้มีกำลังการผลิตคงเหลือ ซึ่งจะนำไปรวมกับการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์มหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ระยะที่ 2 เป็นจำนวนรวมกว่า 500 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นหน่วยงานราชการ 400 เมกะวัตต์ และส่วนที่เหลือกว่า 100 เมกะวัตต์เป็นของหน่วยงานสหกรณ์ภาคการเกษตร เบื้องต้น คาดว่าจะสามารถประกาศรับซื้อไฟฟ้าระยะที่ 2 ได้ในราวปลายปีนี้ ถึงต้นปีหน้า
หลังจากนี้ สำนักงาน กกพ.จะนำรายชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในวันนี้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ กกพ.นัดพิเศษในวันที่ 25 เม.ย. เพื่อประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 เม.ย.นี้ โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนจำหน่ายภายใน 120 วัน และต้องก่อสร้างโรงไฟฟ้า และจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในวันที่ 31 ธ.ค.59 โดยมีอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี ในอัตราค่าไฟฟ้า FiT ที่ 5.66 บาท/หน่วย
ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับการคัดเลือกจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบริษัทผู้สนับสนุนโครงการได้ และภายใน 3 ปีสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ของผู้สนับสนุนโครงการจะต้องไม่ต่ำกว่า 50%
อนึ่ง กกพ.ออกประกาศ และหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าโครงการโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการฯ ไม่เกิน 800 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรกจะรับซื้อ จำนวน 600 เมกะวัตต์ ซึ่งมีผู้ผ่านคุณสมบัติเข้าร่วมจับสลากในวันนี้ จำนวน 167 ราย กำลังการผลิตรวม 798.62 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นกลุ่มสหกรณ์ภาคการเกษตรทั้งหมด ขณะที่กลุ่มข้าราชการถูกตัดสิทธิในรอบนี้ เพราะขัดหลักเกณฑ์ พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ) ทำให้การจับสลากระยะแรกจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 300 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโควตาของกลุ่มสหกรณ์ภาคการเกษตรเท่านั้น
ส่วนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายแห่งได้ยื่นเป็นผู้สนับสนุนโครงการของกลุ่มสหกรณ์ภาคการเกษตร ยกตัวอย่างเช่น บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) ซึ่งในวันนี้สามารถจับสลากได้ 3 โครงการ รวม 12 เมกะวัตต์ ใน จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.อ่างทอง
ขณะที่ บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) จับสลากได้ 2 โครงการ รวม 6 เมกะวัตต์ จากที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาทั้งหมด 3 โครงการ บมจ.โซลาร์ตรอน (SOLAR) จับสลากได้ 3 โครงการ รวม 9 เมกะวัตต์ จากที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามา 10 โครงการ รวม 50 เมกะวัตต์ ขณะที่ บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) จับสลากได้ 1 โครงการ รวม 5 เมกะวัตต์ จากที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามา 2 โครงการ เป็นต้น