“พีเอ็ม กรุ๊ป” ผู้ผลิตเนสกาแฟ สยายปีกรุกธุรกิจอสังหาฯ เตรียมผุดโรงแรม 2 แห่ง ย่านใจกลางเมือง พร้อมไม่หวั่นเศรษฐกิจชะลอตัว เดินหน้าขายคอนโดฯ แบรนด์เดอะเนสท์ ชูจุดขายคอนโดฯ กลางเมือง ในราคา 1.1 แสนบาท/ตร.ม.
น.ส.อุษณา มหากิจศิริ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มบริษัท พีเอ็ม กรุ๊ป จำกัด และบริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่ม ว่า มีแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยจะพัฒนาในหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับศักยภาพของที่ดินว่าจะเหมาะสมที่จะพัฒนาในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็นสนามกอล์ฟ บ้าน คอนโดมิเนียม โรงแรม เป็นต้น โดยตั้งเป้าลงทุนปีละอย่างน้อย 1-2 โครงการ เป็นโครงการที่ขนาดไม่ใหญ่มาก หากเป็นที่อยู่อาศัยจะเน้นไปที่กลุ่มสินค้าระดับราคา 3-5 ล้านบาท ย่านใจกลางเมือง หากเป็นคอนโดมิเนียม จะพัฒนาภายใต้แบรนด์ “เดอะเนสท์”
ล่าสุด บริษัทมีแผนลงทุนพัฒนาโรงแรมในย่านใจกลางเมือง เนื่องจากเล็งเห็นถึงแนวโน้มของธุรกิจท่องเที่ยวมีการเติบโตมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวมาไทยเพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุด ได้ลงทุนพัฒนาโรงแรม 2 แห่ง ประมาณ 400 ห้อง ในย่านเพลินจิต และสุขุมวิท ซ.4 อัตราค่าห้องพักประมาณ 2,000 บาท/คืน
“ธุรกิจกาแฟคือ ธุรกิจเริ่มแรกของครอบครัว ต่อมา ได้ขยายไปสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมหนัก และขยายไปยังธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งที่ผ่านมา ทางกลุ่มได้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากโครงการสนามกอล์ฟ ปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 3 สนาม ได้แก่ สนามกอล์ฟเลควู้ด คันทรี่คลับ บางนา กม.18 สนามกอล์ฟ เมาน์เท็น ครีก กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ เรสซิเดนซ์ ตั้งอยู่ที่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา เป็นสนามกอล์ฟขนาด 27 หลุม และโรงแรมขนาด 38 ห้องพัก ราคาประมาณ 4,000-10,000 บาท/คืน และล่าสุด สนามกอล์ฟเลควู้ด ลิงค์ บางนา กม.18 ซึ่งเป็นสนามกลางคืน เปิดให้บริการต้นปี 2559 ใช้เม็ดเงินลงทุนไปประมาณ 600-700 ล้านบาท” น.ส.อุษณา กล่าว
ส่วนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย บริษัทได้เริ่มพัฒนาโครงการแรก ภายใต้ชื่อ “เดอะเนสท์ เพลินจิต” มูลค่าโครงการเกือบ 400 ล้านบาท ปัจจุบัน ปิดการขายไปแล้ว ล่าสุด เมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา ได้พัฒนาโครงการที่ 2 “เดอะเนสท์ สุขุทวิท22” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น 2 อาคาร ขนาด 24-56.5 ตารางเมตร ราคา 2.9-7.5 ล้านบาท หรือ 110,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 316 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขายแล้วประมาณ 50% ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าคนไทย คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนเมษายน 2559 นี้ โดยโครงการดังกล่าวได้เริ่มก่อสร้างในไตรมาส 1/2559 และแล้วเสร็จในไตรมาส 4/2560
“สินค้าของเราเป็นราคาที่สามารถจับต้องได้ แม้จะตั้งอยู่ย่านใจกลางเมือง แต่เป็นราคาที่ลูกค้าสามารถจับต้องได้ และลูกค้าที่ซื้อห้องชุดส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองในสัดส่วนที่มากกว่า 50% จากยอดขายปัจจุบัน 50% ส่วนลูกค้าที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะเป็นกลุ่มที่ลงทุนระยะยาว” น.ส.อุษณา กล่าว
นอกจากนี้ ในปลายปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาคอนโดฯ สูง 8 ชั้น ในย่านสุขุมวิท เพิ่มอีก 1 โครงการ บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ครึ่ง ความคืบหน้าขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาคอนโดฯ สไตล์คอนเท็มโพรารี ที่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ด้วย แต่จะต้องดูสภาวะเศรษฐกิจ และตลาดอสังหาฯ ในย่านนี้ก่อน หากมีโอกาสด้านการลงทุนก็พร้อมที่จะลงทุนทันที นอกจากนี้ ทางครอบครัวยังมีที่ดินสะสมอีกหลายแปลง เช่น พระราม 4 และสุขุมวิท ซึ่งจะทยอยนำออกมาพัฒนาในอนาคต แต่หากมีทำเลไหนมีศักยภาพก็พร้อมที่จะซื้อมาพัฒนาเช่นกัน
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 1,500-2,000 ล้านบาท โดยปัจจุบัน สามารถทำยอดขายได้แล้ว 700 ล้านบาท ส่วนการเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นั้นบริษัทยังไม่มีแผนแต่อย่างใด