อสังหาฯ คึกคักรับโครงการ “บ้านประชารัฐ” ผู้นำตลาดคอนโดฯ LPN จัดหนักขน 13 โครงการ เข้าร่วมรวม 3,756 ยูนิต มูลค่ากว่า 4,000-5,000 ล้านบาท เชื่อมั่นนโยบายภาครัฐกระตุ้นตลาดอสังหาฯ และเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้เข้าถึงสินเชื่อ และการมีบ้านหลังแรก เผยโครงการ “เดอะ ลุมพินี 24” และ “ลุมพินี พาร์คบีช-ชะอำ” บทพิสูจน์สะท้อนความสำเร็จ LPN ทำได้ ด้านเศรษฐีหุ้น “ทองมา” ร่วมปลุกความคึกคัก ขน 19 โครงการ กว่า 4,500 ยูนิตเข้าร่วม
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวว่า โครงการบ้านประชารัฐ จะช่วยให้คนอยากมีที่อยู่อาศัยได้มีบ้านเป็นของตนเอง ซึ่งภาครัฐได้มีความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว โดยทาง LPN ได้นำ 13 โครงการคอนโดมิเนียมเข้าร่วมเพื่อร่วมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยได้คัดเลือกห้องชุด จำนวน 3,756 ยูนิต มารองรับความต้องการในโครงการดังกล่าว มูลค่าประมาณรวมกว่า 4,000-5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นราคาไม่เกิน 700,000 บาท จำนวน 3,133 ยูนิต และเกิน 700,000 บาท จำนวน 623 ยูนิต ทั้งจะจัดขายในราคาพิเศษ หรือคิดเป็นมูลค่าส่วนลด 42 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทจึงได้จัดแคมเปญ “Suprise หาร 2” โดยบริษัทจะช่วยลูกค้าผ่อนครึ่งหนึ่ง หรือ 50% ของราคาผ่อนต่อเดือน นาน 5 ฟรีค่าส่วนกลาง 5 ปี ฟรีค่าโอน และค่าจดจำนอง ซึ่งมองว่าจะเป็นการช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ และส่งเสริมผู้มีรายได้น้อยให้มีบ้านหลังแรก โดยบริษัทคาดว่าจะจบแคมเปญใน 25 เมษายนนี้ แต่ได้รับการตอบรับที่ดี จึงได้ขยายโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญจากเดิมมี 2 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 และลุมพินี คอนโดทาวน์ ชลบุรี-สุขุมวิท เพิ่มอีก 4 โครงการ
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกของปี 2559 บริษัทคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท เติบโต 100% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558 ที่มียอดรับรู้รายได้ที่กว่า 1,900 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4 เดือนแรก ทางบริษัทคาดว่าตัวเลขยอดรับรู้รายได้จะใกล้เคียง 10,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในช่วง มี.ค. และ เม.ย.นี้ จะเริ่มดำเนินการโอนโครงการคอนโดมิเนียมหรูริมหาดชะอำ “ลุมพินี พาร์คบีช-ชะอำ” และโครงการ “เดอะ ลุมพินี 24” ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์นโยบายของบริษัทในการพัฒนาโครงการระดับราคาที่สูงขึ้น
“เรากำลังมองแปลงที่ดินที่จะทำโมเดลโครงการระดับบนที่คล้ายโครงการเดอะ ลุมพินี 24 ซึ่งสิ่งที่ LPN เรากำลังบอกว่า เราทำได้ มีหลายคนมองว่าจะได้หรือ ซึ่งโครงการที่สุขุมวิท เป็นบทพิสูจน์ที่ทำราคา 1-2 แสนบาทต่อตารางเมตร เราก็ทำได้ ไม่ใช่เราทำไม่ได้ แต่ก็ยอมรับว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เรามุ่งซิตี้คอนโดมากเกินไป เลยทำให้คนติดแบรนด์ระดับล่างๆ มากเกินไป แต่การจะขยับราคาสูงมากๆ เราก็กังวลเรื่องกระทบต่อแบรนด์ของเราเช่นกัน แต่ในอนาคตต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว”
สำหรับโครงการ“ลุมพินี ซีวิว ชะอำ”บนพื้นที่โครงการกว่า 15 ไร่ เป็นรีสอร์ตคอนโดฯ ประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัยสูง 4 ชั้น จำนวน 10 อาคาร รวม 413 ยูนิต มูลค่า 1,100 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 2-3 ล้านบาท โดยคาดว่าในไตรมาสแรกจะสามารถรับรู้รายได้ประมาณ 100 ล้านบาท และในไตรมาส 2 ประมาณ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการอาคารสูงกว่า 20 ชั้น ภายใต้ชื่อโครงการ ลุมพีนี ซีวิว ชะอำ จำนวน 2 ตึก 1,000 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการออกแบบ ราคาขายเริ่มต้นไม่เกิน 1 ล้านบาท
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS กล่าวว่า เพื่อตอบรับนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัยให้แก่พี่น้องประชาชนในโครงการบ้านประชารัฐ พฤกษาจึงรวบรวมที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 19 โครงการ จำนวน 4,539 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 4,771 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 408 ยูนิต มูลค่า 556 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4,131 ยูนิต มูลค่า 4,215 ล้านบาท” เพื่อเข้าร่วมโครงการ
นายเลอศักดิ์ จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ เปิดเผยว่า “นอกจากประชาชนจะได้รับเงื่อนไขพิเศษจากโครงการบ้านประชารัฐ คือ ได้รับสินเชื่อพร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากธนาคารของรัฐที่เข้าร่วมโครงการแล้ว พฤกษายังสนับสนุนผู้ซื้อที่อยู่อาศัยตามนโยบายที่รัฐบาลกำหนด ได้แก่ ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมการจดจำนอง ฟรี ค่าส่วนกลางสาธารณะเป็นระยะเวลา 1 ปี และมอบส่วนลดพิเศษเพิ่มเติมอีก 2% จากราคาขายสุทธิ โดยโครงการที่เข้าร่วมบ้านประชารัฐประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์ ราคาเริ่มต้น 1.25 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม ราคาเริ่มต้น 7.89 แสนบาท
“สำหรับประชาชนผู้ที่ต้องการใช้สิทธิ์ในโครงการบ้านประชารัฐนี้จะต้องเป็นบ้านหลังแรก โดยจะได้รับการผ่อนผันการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อยสามารถกู้จากธนาคารฯ ได้ง่ายขึ้น ด้วยนโยบายนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยได้รีบตัดสินใจ เพราะวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากธนาคารที่ร่วมโครงการมีจำนวนจำกัด”
นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า โครงการบ้านประชารัฐจะช่วยให้ตลาดบ้านราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ราว 15-20% เติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่มีจำนวนบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทจำนวนมาก แม้ว่าผู้บริโภคในต่างจังหวัดจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และภัยแล้งก็ตาม แม้ว่าตลาดดังกล่าวจะเติบโตมากแต่เนื่องจากบ้านกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งตลาดน้อยจึงทำให้ตลาดอสังหาฯ โดยรวมเติบโตได้ประมาณ 5% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะช่วยสร้างความคึกคักให้แก่ตลาดอสังหาฯ โดยรวมได้เป็นอย่างดี