สภาธุรกิจตลาดทุน ประเมินความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า คาดเพิ่มขึ้นถึง 31.15% ชี้จับตาเม็ดเงินลงทุนต่างชาติทยอยไหลกลับเข้าไทยจากนโยบายการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ประเมินหุ้นไทยไตรมาส 2 เคลื่อนใหวในกรอบ 1,450-1,500 จุด
นายคเณศ วังส์ไพจิตร ผู้อำนวยการสภาธุรกิจตลาดทุนไทยหรือ FETCO แถลงดัชนีความเชื่อมั่นการลงทุนอีก 3 เดือนข้างหน้า (เดือนพฤษภาคม 2559) ซึ่งทำการสำรวจความเห็นนักลงทุนรายบุคคล นักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนสถาบันต่างประเทศที่มีผลต่อระดับดัชนี ซึ่งประเมินว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 31.15% จากเดือนที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 71.90 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นในรอบ 5 เดือน ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในกรอบทรงตัว หรือ Neutral (ช่วงค่าดัชนี 0-200) ที่มีปัจจัยหนุนจากนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐบาลที่เริ่มมีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้น และปัจจัยต่างประเทศที่มีส่วนช่วยในการสนับสนุนจากนโยบายทางด้านการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการสะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ด้านปัจจัยลบที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนยังคงมาจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศจีน ที่มีการชะลอตัวลงเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมากที่สุด ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะที่ในส่วนของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ยังคงเป็นหุ้นกลุ่มที่มีความน่าสนใจน้อยที่สุด
นอกจากนี้ ในส่วนของปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด ได้แก่ การใช้จ่ายด้านนโยบายภาครัฐในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่เริ่มดำเนินการได้ในช่วงกลางปี ในขณะที่ปัจจัยลบที่ส่งผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และความวิตกกังวลด้านราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง
“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่ดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้าสะท้อนออกมาจากการที่ FED ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 9 ปี ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องการันตีในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้อย่างดี ส่วนการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในประเทศจีนนั้น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในภูมิภาคเอเซีย อีกทั้งการที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับต่ำ ยังสร้างความกังวลต่อนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะทำให้กระทบต่อหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนย้ายการเงินในตลาดโลกมีความผันผวนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย”
ขณะเดียวกัน นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ ASP กล่าวเสริมว่า แนวโน้มการลงทุนในไตรมาสที่ 2 ยังคงไม่มีปัจจัยเสี่ยงมากนัก โดยประเด็นหลักที่นักลงทุนควรให้ความสนใจยังคงเกี่ยวข้องต่อการเมืองภายในประเทศ ในเรื่องของร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมีทั้งฝ่ายที่คัดค้าน และฝ่ายที่ให้การสนับสนุน ซึ่งหากไม่สามารถหาข้อยุติความขัดแย้งที่มีอยู่ได้ ก็จะทำให้การเลือกตั้งต้องล่าช้าเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิมที่วางไว้
อย่างไรก็ดี ในส่วนของเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศที่จะไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยนั้น คาดว่าจะทยอยเพิ่มมากขึ้น จากการปรับฟื้นตัวขึ้นของ SET INDEX ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศที่จะกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยนั้นส่วนหนึ่งจะพิจารณาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยที่เข้าซื้อหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีหุ้นไทยกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับขึ้นของ SET INDEX ในช่วงนี้ ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคาร เช่น BBL และหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น SCG, TCAP เป็นต้น
ทั้งนี้ มองว่าแนวโน้มการปรับตัวของดัชนี SET INDEX ของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 จะเคลื่อนใหวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยมีแนวรับ-แนวต้านที่ประมาณ 1,450-1,500 จุด