xs
xsm
sm
md
lg

SGP คาดกำไรปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อน เตรียมเดินเกมรุกธุรกิจ LPG เต็มสูล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


SGP คาดกำไรปีนี้ดีกว่าปีก่อน ปริมาณขาย-ราคาเพิ่ม เตรียมนำเข้า LPG ขายในประเทศ เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้ พร้อมมองในอนาคตธุรกิจ LPG ก็จะเกิดการแข่งขันเสรีมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้เราคล่องตัวขึ้น

นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) คาดว่า กำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าระดับ 1.12 พันล้านบาทในปีที่แล้ว ตามปริมาณขายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และราคาขาย LPG ที่เพิ่มขึ้น พร้อมวางแผนการขยายตลาดเพิ่มด้วยการนำเข้า LPG เพื่อขายในประเทศ รับนโยบายรัฐที่วางโรดแมปให้ธุรกิจ LPG เกิดการแข่งขันเสรีมากขึ้น โดยจะนำเข้า 4.4 หมื่นตันต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้ รวมถึงการเดินหน้าเพิ่มศักยภาพคลัง LPG ซื้อเรือขนส่งขนาดใหญ่ ตลอดจนการซื้อกิจการในต่างประเทศรองรับการขยายงานในอนาคต โดยจะใช้เงินลงทุนในปีนี้ไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท

“กำไรปีนี้ก็น่าจะดีกว่าปีก่อน ซึ่งเป็นการคาดการณ์ดีกว่าจากวอลุ่มที่เพิ่มขึ้น และราคา CP (ตลาดโลก) ที่น่าจะเพิ่มขึ้น ราคาปีนี้น่าจะผ่านต่ำสุดไปแล้ว และในอนาคตธุรกิจ LPG ก็จะเกิดการแข่งขันเสรีมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้เราคล่องตัวขึ้น ตอนนี้เหมือนเราเต้นฟุตเวิร์กอยู่แล้วในการเตรียมพร้อมทั้งกำลังเรือ กำลังรถ แล้วที่ดีที่สุด คือ นโยบายแบบนี้เป็นข้อได้เปรียบของผู้ที่มีท่าเรือ มีคลังเก็บก๊าซฯ ทำให้เราสามารถกระจายสินค้าไปได้ทั่วประเทศ”

นางจินตณา กล่าวว่า สัปดาห์ก่อนบริษัททำหนังสือไปยังสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เพื่อขอนำเข้า LPG มาจำหน่ายในประเทศ โดยจะนำเข้า 2 ลำเรือ ลำเรือละ 2.2 หมื่นตันต่อเดือน ในช่วงเวลา 6 เดือนตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้

ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับ บมจ.ปตท. (PTT) เพื่อสรุปค่าการใช้บริการสาธารณูปโภคในการใช้คลัง LPG ระยะ 2 ของ ปตท.ที่จะแล้วเสร็จในช่วงดังกล่าว ซึ่งการนำเข้า LPG มาขายในประเทศนั้นจะสามารถทำมาร์จิ้นได้ดี เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ซื้อจาก ปตท.เพื่อขายในประเทศ

นางจิณตนา กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวนอกจากจะเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่เปิดโอกาสให้มีรายใหม่เป็นผู้นำเข้า LPG นอกเหนือจาก ปตท. เพราะต้องการให้ธุรกิจมีการแข่งขันเสรีมากขึ้น เพื่อนำไปสู่ต้นทุนจริงที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนดในปัจจุบัน นอกจากนั้น ยังเป็นการช่วยเพิ่มยอดขาย และเป็นการขยายตลาดของบริษัทให้เพิ่มขึ้นด้วย

ขณะเดียวกัน เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้เริ่มนำเข้า LPG มาเพื่อการส่งออกไปแล้ว หลังจากได้รับอนุญาตให้คลัง LPG ที่บางปะกง เป็นคลังทัณฑ์บนจากกรมศุลกากร ทำให้สามารถส่งออกได้โดยได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้า LPG มาเพื่อส่งออกราว 2 พันตันต่อเดือน และมีแผนขยายเพิ่มขึ้นเป็น 5 พันตันต่อเดือนราวปลายปีนี้ หลังจากการขยายขีดความสามารถของคลังแล้วเสร็จ เนื่องจากมองว่าตลาดส่งออก LPG ไปยังประเทศเพื่อนบ้านขยายตัวอย่างมาก

ปัจจุบัน บริษัทส่งออก LPG ไปยังพม่าเป็นหลัก ก็เริ่มจะขยายไปยังกัมพูชา เพราะการขยายตลาดส่งออก LPG จะข่วยเพิ่มยอดขายรวมให้เติบโตดีขึ้นด้วย โดยจะเข้ามาชดเชยตลาด LPG ภาคขนส่งที่ยังมองว่าจะไม่เติบโตจากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดว่าปริมาณขาย LPG ในประเทศปีนี้จะเติบโตได้ 6.1% มาที่ระดับ 1.12 ล้านตัน คาดว่าจะเป็นการขายในภาคครัวเรือนสัดส่วนใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 59% ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มเป็น 15% จาก 13% ในปีก่อน และภาคขนส่งคาดว่าจะลดลงจาก 28% ในปีก่อน ขณะที่บริษัทไม่มีนโยบายขยายสถานีบริการ LPG จากที่มีสถานีบริการที่เป็นเจ้าของเองราว 43-44 แห่ง ยกเว้นหากมีทำเลที่ดีก็อาจจะขยายเพิ่ม

SGP มีส่วนแบ่งตลาดธุรกิจ LPG ในประเทศเป็นอันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 24% รองจาก บมจ.ปตท. (PTT) ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ราว 36-38% และอันดับ 3 เป็นของ บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP) ภายใต้แบรนด์ “เวิลด์แก๊ส” มีส่วนแบ่งตลาดราว 20% โดย SGP มีคลังน้ำมันในประเทศ 8 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศในพื้นที่สาธุประดิษฐ์ สุขสวัสดิ์ บางปะกง สุราษฎร์ธานี 2 คลัง ลำปาง นครสวรรค์ และขอนแก่น ซึ่งปีนี้บริษัทมีแผนขยายขีดความสามารถขนาดบรรจุคลังทั้ง 8 แห่ง เพิ่มเป็น 2.5 หมื้นตัน จากปัจจุบันที่มี 2 หมื่นตัน

นอกจากนี้ SGP ยังมีการลงทุนในต่างประเทศ โดยมีคลัง LPG ในจีน 2 แห่งรวม 3 แสนตัน เวียดนาม 2 แห่งรวม 3 พันตัน และมาเลเซีย 2.2 พันตัน ขณะที่มีโรงบรรจุ LPG ในสิงคโปร์อีก 75 ตัน โดยปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนการขายในประเทศราว 38% และต่างประเทศราว 62% ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน

นางจินตณา กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณขาย LPG รวมทั้งใน และต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 3 ล้านตันในปี 59 จาก 2.8 ล้านตันในปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นยอดขายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีนที่ปีนี้คาดว่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 4.4% มาที่ระดับ 9.5 แสนตัน จากปีที่แล้วเติบโตมากราว 164% แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนอาจชะลอตัวลง แต่ยอดขาย LPG ไม่ได้ลดลงไปด้วยเนื่องจากยังมีความจำเป็นต้องใช้มากในภาคครัวเรือน ขณะเดียวกัน ตลาด LPG ในมาเลเซียก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนตลาดในเวียดนามยังคงทรงตัว ไม่หวือหวามากนัก

ด้านราคา LPG ในตลาดโลกปีนี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นจากระดับเฉลี่ย 426 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่ผ่านมา หลังราคาน้ำมันมีทิศทางที่ฟื้นตัวขึ้น และผันผวนเท่าปีก่อน มองว่าราคา LPG ในเดือน ก.พ.ที่ราว 300 เหรียญสหรัฐ/ตัน น่าจะเป็นระดับต่ำสุดแล้ว และจะค่อยๆ ฟื้นตัวต่อเนื่อง ล่าสุด เดือน มี.ค.อยู่ที่ราว 305 เหรียญสหรัฐ/ตัน จะทำให้ความสามารถการทำกำไรของบริษัทดีขึ้นด้วยเช่นกัน

“ปีที่แล้วเราก็มี stock loss แต่ไม่ได้ทำตั้วเลขแยกไว้ เพราะเรามีสินค้าไว้ขายอย่างน้อย 1 เดือน ถ้าราคา CP เดือนหน้าลงเราก็เจอ ถ้าขึ้นเราก็ได้ ซึ่งเราต้องพยายามรักษา inventory ไว้ ตอนนี้มีสต๊อกประมาณ 1 เดือน ปีนี้ถ้าขึ้นลงขนาดนี้มาร์จิ้นที่บวกไว้ไม่มีปัญหา แต่อะไรที่หวือหวาเราไม่ชอบ ตอนนี้เราแข็งแกร่ง เราผ่านจุดเยือกแข็งมาแล้วไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไร” นางจินตณา กล่าว

นางจินตณา กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท โดยประมาณ 400-500 ล้านบาท เป็นงบลงทุนปกติทั่วไปเพื่อใช้ปรับปรุงและขยายขีดความสามารถของคลัง LPG ขณะที่งบลงทุนที่เหลือไม่เกิน 2 พันล้านบาท จะใช้ซื้อเรือขนาดใหญ่เพื่อใช้ทำธุรกิจต่างประเทศ จากปัจจุบันที่มีเรือขนาดใหญ่ราว 1-2 ลำ จากกองเรือทั้งหมดกว่า 20 ลำ โดยเรือขนาดใหญ่มีราคากว่า 1 พันล้านบาท/ลำ

นอกจากนี้ ยังจะใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งสำหรับการเข้าซื้อกิจการ และร่วมลงทุนในต่างประเทศ โดยบริษัทอยู่ระหว่างรอการประกาศผลการประมูลคลัง LPG ขนาด 5 พันตัน และการทำธุรกิจเทรดดิ้ง LPG ในพม่า คาดว่าจะรู้ผลในเร็วๆ นี้ รวมถึงยังมองการระหว่างเจรจาเพื่อซื้อกิจการ LPG ในฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นการซื้อจากผู้ประกอบการเดิม การเข้าไปลงทุนอาจจะเป็นการซื้อกิจการ หรือร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ท่ามกลางภาวะตลาด LPG ที่ยังขยายตัวมาก ส่วนในลาว กำลังพิจารณาอาจจะเข้าไปร่วมลงทุนในโรงบรรจุ LPG ขนาดเล็ก 1 แห่ง เนื่องจากตลาดในลาวยังมีไม่มากนัก

ส่วนเงินที่จะใช้ลงทุนจะมาจากเงินทุนหมุนเวียน และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่อยู่ระดับ 2-3 พันล้านบาท/ปี โดยไม่จำเป็นต้องระดมเงินทุนเพิ่ม ส่วนที่จะขออนุมัติผู้ถือหุ้นพิจารณาวงเงินออกหุ้นกู้ไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาทในรอบการประชุมเดือนเม.ย.นี้ เป็นการขออนุมัติวงเงินหุ้นกู้เพื่อสำรองใช้ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า

นางจินตณา กล่าวอีกว่า บริษัทยังให้ความสนใจการลงทุนในธุรกิจพลังงานอื่น โดยได้ศึกษาเรื่องของธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) แต่ในส่วนของธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์นั้น ในช่วงที่ผ่านมา มีผู้เข้ามาเสนอให้ร่วมลงทุนแต่บริษัทยังไม่มีความเชี่ยวชาญทำให้ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะลงทุนในธุรกิจดังกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น