เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ มั่นใจปี 59 กลับมาโชว์ฟอร์มสวยอีกครั้งหลังธุรกิจเหล็กส่งสัญญาณฟื้นตัวในขณะธุรกิจพลังงานโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นที่ COD แล้วจะรับรู้รายได้เต็มปี และเตรียมขายไฟเพิ่มอีกหลายโครงการ กำลังการผลิตรวมกว่า 80 เมกะวัตต์ จากปี 58 ขายไฟได้เพียง 8.92 เมกะวัตต์ จากการเชื่อมต่อสายส่งในปลายปี 58 ไว้ 23 เมกกะวัตต์
นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และธุรกิจพลังงาน ประเภทโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งใน และต่างประเทศ เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในปี 2559 ว่า มีทิศทางเติบโตจากปี 2558 อย่างชัดเจน จากการฟื้นตัวของธุรกิจเหล็กต้นน้ำ และจากการรับรู้รายได้เพิ่มในธุรกิจพลังงานที่ได้ลงทุนไปแล้วในปี 2558 ที่ผ่านมา
โดยพบว่าในปี 2559 ความต้องการใช้เหล็กในประเทศได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากที่ภาครัฐใช้มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) เข้ามาควบคุมคุณภาพเหล็กนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้เหล็กคุณภาพต่ำจากต่างประเทศไม่สามารถเข้ามาจำหน่ายในประเทศได้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการเหล็กปลายน้ำหันมาสั่งซื้อเหล็กต้นน้ำที่ผลิตในประเทศเพิ่มมากขึ้น
“ปีนี้อุตสาหกรรมเหล็กแท่งยาว หรือ Steel Billet เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นตั้งแต่เดือนแรกของปี จากการใช้มาตรฐาน มอก.เข้ามาควบคุมคุณภาพเหล็กนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้เหล็กคุณภาพต่ำเข้ามาในตลาดไทยได้ยากขึ้น โดยพบว่า CHOW เริ่มมีคำสั่งซื้อสินค้าเหล็กต้นน้ำเข้ามาหนาแน่นขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก ซึ่งจะสนับสนุนให้ธุรกิจเหล็กฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัญหาการลดลงของผลประกอบการในปี 2558 ปัจจัยหลักมาจากการลดลงของรายได้จากการขายเหล็กต้นน้ำเท่านั้น ในขณะที่ธุรกิจพลังงานยังเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนงานที่ได้วางไว้” นายอนาวิล กล่าว
โดยในปี 2559 นอกจากธุรกิจเหล็กจะฟื้นตัวแล้ว ธุรกิจพลังงานจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) จะเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างชัดเจน เพราะโครงการในประเทศญี่ปุ่นที่คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้ลงทุนผ่านบริษัทย่อยในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 จำนวน 33 เมกะวัตต์ ในปี 2558 จะเชื่อมต่อสายส่งเพื่อขายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) และรับรู้รายได้ครบทั้ง 33 เมกะวัตต์ในปีนี้ หลังจากที่ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 ได้เชื่อมต่อสายส่ง (COD) เพื่อรอขายไฟแล้วจำนวน 23 เมกะวัตต์ และได้รับรู้รายได้สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2558 เพียง 8.92 เมกะวัตต์เท่านั้น คิดเป็นรายได้ 77.88 ล้านบาท
ทั้งนี้ ยังมีโครงการอื่นๆ ในประเทศญี่ปุ่นที่ลงทุน และร่วมลงทุนไว้ในปี 2558 จะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ต้นปี 2559 เป็นต้นไป โดยคาดว่าภายในปี 2559 จะสามารถรับรู้รายได้จากการขายไฟไม่น้อยกว่า 80 เมกะวัตต์ ในขณะที่โครงการ Solar Rooftop ซึ่งดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 7 เมกะวัตต์ จะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนยังมีอีกมาก โดยเฉพาะจากพลังงานสะอาดที่ไม่สร้างมลพิษอย่างไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งจะสะท้อนรายได้จากธุรกิจพลังงานเติบโตก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ และมั่นใจว่าปี 2559 จะเป็นอีกปีที่ยอดเยี่ยมของบริษัท