CPanel เชื่ออสังหาฯ ปี 59 เติบโต ผู้ประกอบการหันใช้ผนังสำเร็จรูป ชี้ลดต้นทุน บริหารความเสี่ยง ส่งผลออเดอร์พุ่ง โชว์ Backlog 250 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้ากลุ่มท่องเที่ยว รับเหมาก่อสร้าง งานภาครัฐ เล็งเปิดตลาด CLMV ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 300 ล้านบาท
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (CPanel) ผู้ผลิต และจำหน่ายผนังคอนกรีตสำเร็จรูป เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการที่โครงการรถคันแรกหมดไป ส่งผลให้ภาคครัวเรือนมีกำลังซื้อมากขึ้น ส่วนภาพรวมอสังหาริมทรัพย์คาดว่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นเช่นเดียวกันจากการที่ภาครัฐมีแผนกระตุ้น และขับเคลื่อนโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ที่มีความล่าช้าในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งการดำเนินนโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างภาคเอกชนมีโอกาสในการรับงานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมาลงทุนในโครงการใหม่อีกครั้ง โดยทั้ง 2 ปัจจัยนี้จะทำให้ตลาดวัสดุก่อสร้างได้รับผลดีด้วยเช่นกัน
“ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในปี 59 ผู้ประกอบการรายเล็กอาจจะเหนื่อย ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะแม้จะมีความระมัดระวังแต่ก็ยังคงลงทุนต่อเนื่อง โดยการพัฒนาจะแบ่งเฟส หรือพัฒนาโครงการขนาดเล็ก 30-100 ยูนิต ความเสี่ยงของผู้ประกอบการจึงลดลง ทำให้เชื่อว่าตลาดอสังหาฯ ในปีนี้จะสามารถเติบโตได้ รอเพียงอย่างเดียวคือ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นกลับมา ในส่วนของบริษัทยังมีออเดอร์ใหม่เข้ามาต่อเนื่อง ตลาดที่เติบโตดี คือ บ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาท” นายชาคริต กล่าว
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 2558 ถือว่าเติบโตขึ้นอย่างมากกว่า 200% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยคาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาท เนื่องจากผู้ประกอบการที่ยังลงทุนพัฒนาโครงการต่างๆ ส่วนใหญ่มีความต้องการใช้ผนังคอนกรีตสำเร็จรูปในการก่อสร้างโครงการแทนวัสดุอื่นๆ เพราะเป็นวัสดุที่ใช้งานง่าย มีความแข็งแรง ลดต้นทุนแรงงาน ตอบโจทย์การบริหารจัดการระยะเวลาการทำงาน และช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี จากความต้องการดังกล่าวทำให้เชื่อว่าเมื่อภาพรวมตลาดอสังหาฯ กลับสู่ภาวะปกติ ความต้องการใช้งานผนังคอนกรีตสำเร็จรูปจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างทันทีด้วยเช่นกัน
ส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ CPanel ยังคงเดินหน้าทำตลาดแนะนำผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้ารายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นที่กลุ่มผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบ และแนวสูง และยังมีความสนใจขยายฐานลูกค้าในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีโอกาสขยายตลาดไปยังกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนโครงการก่อสร้างต่างๆ ของภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะมีกระแสตอบรับที่ดีเข้ามาอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัว
นายชาคริต กล่าวต่อว่า สำหรับการเปิดตลาดในต่างประเทศขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ โดยมองว่ากลุ่มประเทศ CLMV มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ถ้ามีโอกาสก็พร้อมที่เข้าไปขยายฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ โดยจะเน้นไปที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภาคการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
สำหรับกำลังการผลิตของบริษัทในปัจจุบันสูงสุด 9 แสนตารางเมตรต่อปี ปัจจุบันใช้กำลังการผลิต 60-70% ล่าสุด ได้มีการลงทุนโรงงานแมนนวล 3 ล้านบาท เพื่อปรับไลน์โปรดักชันการผลิตทำให้สามารถรองรับความต้องการลูกค้าที่หลากหลายได้ นอกจากนี้ บริษัทได้ซื้อรถขนส่งเพิ่มอีก จำนวน 7 คัน มูลค่าประมาณ 21 ล้านบาท จากเดิมที่จ้างภายนอกมาเป็นการขนส่งเอง เพราะราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ และอยู่ในช่วงขาลง
ปัจจุบัน บริษัทมีลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 13 ราย เช่น ศุภาลัย, แอลพีเอ็น, ธนาสิริ, สัมมากร และกานดาพร็อพเพอร์ตี้ เป็นต้น มีมูลค่างานในมือ (Backlog) 250 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้จนถึงไตรมาส 3/59 ตั้งเป้ารายได้ 300 ล้านบาทในปีนี้