xs
xsm
sm
md
lg

“ทรีนีตี้” ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นตัวช่วยการลงทุน ชี้ SET แกว่งแรงสวิงตัวสูง 400 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด
ทรีนีตี้ มองภาพรวมการลงทุนในปีนี้หืดขึ้นคอ หลังดัชนี SET Index แกว่งตัวรุนแรงสูงกว่า 400 จุด หรือ 1,100-1,500 จุด เหตุยังไร้ปัจจัยการลงทุนสนับสนุนที่ชัดเจน คาดตลาดหุ้นระยะสั้นในเดือนกุมภาพันธ์จะขยับแกว่งตัวในกรอบการลงทุน 1,250-1,350 จุด

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงมุมมองภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์นี้ว่า มีแนวโน้มปรับตัวค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยมองกรอบดัชนี SET Index ที่ 1,250-1,350 จุด โดยมีปัจจัยบวกจากตลาดเริ่มผ่อนคลายความกังวลต่อการชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หลังธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลกส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมแล้ว จึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ในสหรัฐอเมริกาปรับตัวลง ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการไหลเข้าของเม็ดเงิน (Fund Flow) ในระยะสั้นในตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดหุ้นไทย

อย่างไรก็ดี หากมองตลาดหุ้นไทยระยะยาวในปี 2559 ยังมีความไม่แน่นอนทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอกประเทศ ทำให้คาดการณ์ดัชนี SET Index มีโอกาสแกว่งตัวผันผวนในกรอบที่กว้างถึง 400 จุด (จุดสูงสุด-จุดต่ำสุด) หรือมีกรอบดัชนีที่ 1,100-1,500 จุด (อ้างอิงช่วงระดับค่า P/E ที่ 11-15 เท่า และสมมติฐาน EPS ของ SET Index ปีหน้าที่ 100 บาทต่อหุ้น) จึงมีผลทำให้การลงทุนมีความท้าทายไม่แพ้ในปี 2558 ที่ผ่านมา
 
“แม้ภาวะตลาดหุ้นไทยจะมีความน่าสนใจในแง่ของพื้นฐานที่มีระดับ Forward PE ของ SET Index ที่ระดับ 13 เท่า ถือว่ามีระดับที่น่าสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่มีระดับ PE ที่ 15-16 เท่า จึงมีโอกาสสูงที่เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนเก็งกำไรระยะสั้นจะมาลงทุนที่ไทย แต่เรายังไม่เห็นสัญญาณการเข้ามาของนักลงทุนระยะยาวที่ยังรอดูความชัดเจนทางการเมืองของไทย ตลาดหุ้นไทยจึงมีความไม่แน่นอนสูง และลงทุนมีความยากยิ่งขึ้น”
 
พร้อมกันนี้ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้จึงได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ให้ตรงต่อความต้องการของนักลงทุน ครอบคลุมทุกสไตล์การลงทุนทั้งระยะสั้น-กลาง-ยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่สูงสุด โดยแบ่งออกเป็น 7 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 5-10% ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ “All About Technical Chart” การลงทุนแบบเทคนิเคิล เน้นเก็งกำไรระยะสั้น ใช้ปัจจัยทางเทคนิคในการวิเคราะห์คัดเลือกหุ้นในพอร์ตประมาณ 5-10 บริษัท โดยผลิตภัณฑ์ “Trinity Trigger” รูปแบบการลงทุนที่มีการกำหนดจุด Take Profit ของหุ้นแต่ละบริษัทที่ 5-10% คัดหุ้นในพอร์ต 5 บริษัท คัดเลือกหุ้นจากปัจจัยพื้นฐานเทคนิเคิล และ Sentiment ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ “Quant Trading” เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง มีการแนะนำให้เลือกขาย (Short) หุ้นที่มีแนวโน้นความเสี่ยงขาลง (Downside Risk) โดยที่ตลาดยังไม่ได้รับรู้ข่าวร้ายนั้น หรือใช้กลยุทธ์ Pair Trade ในการทำ Arbitrage ระหว่าง 2 บริษัท คัดเลือกหุ้นในพอร์ตจากหุ้นสามัญ Derivative Warrant, Single Stock Futures และผลิตภัณฑ์ “Forex Weekly Alert” เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่มี Exposure กับค่าเงินตราสารต่างประเทศ โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ USD Future ในตลาด TFEX โดยใช้ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลักในการวิเคราะห์ ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับนักลงทุนระยะกลางระหว่าง 1-3 เดือน คาดหวังผลตอบแทนระดับ 10-15% ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ “The Perfect Gems” เน้นการคัดเลือกหุ้นในพอร์ตในแต่ละช่วงเวลาประมาณ 5 บริษัท โดยใช้ข้อมูลทั้ง House View และข้อมูล Consensus ใช้ปัจจัยเชิงปริมาณเป็นหลัก
 
ทั้งนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ระยะกลางถึงยาวระยะเวลาลงทุน 3-6 เดือน คาดหวังอัตราผลตอบแทนระดับ 15-20% ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ “Deep Value Stock” คัดเลือกหุ้นในแต่ละช่วงเวลาประมาณ 5 บริษัท ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ที่ควรจะเป็น หรือมีช่องทำกำไรที่สูง (Upside Gain) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ระยะยาวลงทุนตั้งแต่ 6-12 เดือน คาดหวังผลตอบแทนในอัตราไม่ต่ำกว่า 20% ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ “Business Model” โดยคัดสรรหุ้นในแต่ละช่วงเวลาประมาณ 5 บริษัท ที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างพื้นฐาน มีลักษณะธุรกิจเป็นผู้ชนะในระยะยาวในอุตสาหกรรม


 
“ผลิตภัณฑ์ทั้ง 7 กลุ่มที่ทำนี้เชื่อว่าจะช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในอัตราผลตอบแทนที่พอใจได้ดียิ่งขึ้น”
กำลังโหลดความคิดเห็น