เจ มาร์ท กรุ๊ป ตั้งเป้ารายได้ปีนี้คาดเติบโตไม่น้อยกว่า 30% หรือประมาณ 13,300 ล้านบาท พร้อมทุ่มงบลงทุน 4,000 ล้านบาท พัฒนาธุรกิจทั้ง 5 ด้าน ขยายช่องทางหารายได้ทั้งใน และต่างประเทศ คาดรายได้รวมปีหน้าทะลุ 15,000 ล้านบาท และแตะ 17,000 ล้านบาทภายใน 2 ปี
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท หรือ JMART กล่าวว่า บริษัทฯประมาณการรายได้ทั้งหมดของเครือ เจ มาร์ท กรุ๊ป ในปี 2559 นี้ คาดว่าจะเติบโตที่ 30% หรือประมาณ 13,300 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของรายได้ในอนาคตปี 2560 คาดว่าจะเติบขึ้นจากปีนี้ที่ 15,000 ล้านบาท และ 17,000 ล้านบาท ในปี 2561 พร้อมกันนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนรวมจำนวน 4,000 ล้านบาท เพื่อขยายกิจการทั้งกลุ่มบริษัท โดยแบ่งเป็น JMART ใช้งบลงทุน 350 ล้านบาท ในการขยายสาขาเพิ่มจาก 260 สาขาทั่วประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน และขยายสาขาในต่างประเทศ คือ ประเทศพม่า จากปัจจุบัน จำนวน 20 สาขา เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 5 สาขา ให้ได้ในปีนี้ โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนขยายสาขาในพม่าที่ประมาณ 50 ล้านบาท
ขณะที่ในส่วนของ สุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท หรือ J กล่าวว่า ทิศทางในปี 2559 บริษัทฯ มีเป้าหมายในการเปิดสาขาของทั้ง 3 ธุรกิจหลักไม่น้อยกว่า 10 สาขา ได้แก่ IT Junction ไม่น้อยกว่า 8 สาขา และเตรียมเปิดตลาด J night 1 สาขา รวมทั้งการเปิดศูนย์การค้าชุมชน THE JAS สาขาศรีนครินทร์ ในปีนี้ โดยบริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ไว้ไม่น้อยกว่า 650 ล้านบาท เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกำไร และรายได้ขององค์กร ตั้งเป้ารายได้เติบโต 30%
ด้าน บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส หรือ JMT บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ในการเข้าซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินในวงเงินที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยจะใช้งบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนอีก 2,000 ล้านบาท จะใช้เพื่อเสริมสภาพคล่องในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้ารายย่อย โดยผ่านบริการของ เจ มันนี่ (J-Money) อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าในอนาคตอีก 2-3 ปี สัดส่วนธุรกิจของ เจ มันนี่ จะมียอดปล่อยสินเชื่อเติบโตขึ้นปีละไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่พอร์ตสินเชื่ออยู่ที่จำนวน 597 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ในส่วนของธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัทฯ นั้น คาดว่ายอดจำหน่ายโทรศัพท์สมาร์ทโฟนในปีนี้จะมีปริมาณรวมกว่า 1,500,000 เครื่อง มากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 1,200,000 เครื่อง โดยบริษัทฯ จะเน้นกลยุทธ์การบริหารร้านค้าหลังจากมีออเดอร์สินค้า และส่งมอบแล้ว 100% จะต้องจำหน่ายสินค้าให้หมดภายใน 90 วัน โดยในช่วงที่ผ่านมา เฉพาะไตรมาสที่ 4 /2558 เป็นช่วงที่มียอดจำหน่ายสินค้าได้เป็นจำนวนมาก ถือเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา อีกทั้งในปัจจุบันประชาชนนิยมหันมาใช้โทรศัพท์ประเภทสมาร์ทโฟนในรุ่นเรือธงที่ดีที่สุดของแบรนด์ต่างๆ โดยใช้บริการผ่อนผ่านสินเชื่อมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลในการแบกรับภาระการชำระเงิน อีกทั้งยังมีอานิสงส์จากภาครัฐที่ได้ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดหย่อนภาษีทำให้มียอดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มสมาร์โฟน Hi-End กลุ่มดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น
“บริษัทฯ คาดว่ารายได้ทั้งหมดของ เจ มาร์ท กรุ๊ป คาดว่าจะอยู่ที่ 13,300 ล้านบาท เนื่องจากในอนาคตอันใกล้แนวโน้มการใช้งานทั้งโครงข่ายทั้งระบบ 3G และ 4G จะเติบโตขึ้นอย่างรวมเร็ว และมีความต้องการของผู้ใช้จำนวนมากไม่น้อยกว่า 1,500,000 เครื่อง และเพื่อที่จะให้สอดคล้องต่อความต้องการ และปริมาณของจำนวนผู้ใช้ โดยให้ เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส ซึ่งเป็นบริษัทฯ ในเครือให้การสนับสนุนด้านสินเชื่อ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เจรจาร่วมลงทุนกับธนาคารในประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านสินเชื่อบุคคล โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 3/2560 โดยในปีแรกตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อให้ได้ไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท และหากเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้จะขยายการให้บริการด้านสินเชื่อไปยังต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศพม่าในอนาคตด้วย