“โพลาริส แคปปิตัล” ยกเลิก PP เปลี่ยนออก TSR เชื่อมั่นสร้างประโยชน์ให้ผู้ถือหุ้น ระดมเงินลงทุนบิ๊กโปรเจกต์ “The Sherwood” ใจกลางลอนดอน โชว์หลังเปิดจอง Q4/58 ยอดจองเข้าแล้ว 40% เตรียมกวาดรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมเปิดมาสเตอร์แพลนครบวงจรบนที่ดิน “เขาหลัก พังงา”
นายญาณกร วรากุลรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โพลาริส แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) หรือ POLAR เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ ครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 15 ม.ค.2559 มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจากเดิม 995,806,605,840 บาท เป็น 381,694,853,490 บาท ด้วยการยกเลิกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 20,470,391,745 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 30 บาท แบ่งเป็น
กรณีแรก ยกเลิกหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้ขายจากคราวที่แล้ว ที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวน 1,369,894,356 หุ้น
กรณีที่สอง หุ้นที่ออกเพื่อรองรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท รุ่นที่ 1 (POLAR-W1) จำนวน 185,497,389 หุ้น และสุดท้ายยกเลิกการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) และลดหุ้น จำนวน 18,915,000,000 หุ้น ที่เหลือสำรองไว้เต็มทั้งจำนวน
กรณีที่สี่ มีมติเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น และอนุมัติการออกใบแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (Transferable Subscription Right : TSR) TSR คือ ใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ เป็นสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนระยะสั้น ซึ่งจัดเป็นเครื่องมือทางการเงินหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อช่วยในขั้นตอนการเพิ่มทุน โดย 1 หน่วยใบแสดงสิทธิสามารถจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ 1 หุ้น ตามการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยประโยชน์ของใบแสดงสิทธิดังกล่าว คือ ผู้ถือหุ้นสามารถจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน สามารถขายใบแสดงสิทธิผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ เพื่อทดแทนการยกเลิก PP โดยการออก TSR จำนวนไม่เกิน 42,574,758,600 หน่วย โดยไม่คิดมูลค่าในอัตราส่วนหุ้นสามัญเดิม 1 หุ้น ได้รับการจัดสรร TSR 5 หน่วย โดยกำหนดให้ TSR 1 หน่วยใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ในราคาใช้สิทธิหุ้นละ 0.039 บาท และเพิ่มทางเลือกในการลงทุนที่คุ้มค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นที่ไม่ต้องการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน จะยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนโดยการขายสิทธิ TSR ในตลาดหลักทรัพย์ แต่ถ้าในกรณีที่ผู้ถือหุ้นไม่ต้องการจะขายสิทธิ TSR ดังกล่าวนี้ ก็จะยังสามารถใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทได้ตามปกติ เหมือน RO โดยไม่มีการเสียสิทธิ บริษัทได้กำหนดให้วันที่ 1 ก.พ.2559 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญที่โอนสิทธิได้ (Record Date) และปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 2 ก.พ.2559
กรณีที่ห้า พิจารณาอนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท รุ่นที่ 4 (POLAR-W4) จำนวน 17,029,903,440 หน่วย เพื่อขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยไม่คิดมูลค่าอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิมได้ 1 หน่วย POLAR-W4 กรณีมีเศษของใบสำคัญแสดงสิทธิเหลือจากการคำนวณตามอัตราส่วนการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวให้ตัดเศษดังกล่าวทิ้งทั้งจำนวน
ทั้งนี้ บริษัทจะออก POLAR-W4 ภายหลังจากที่ผู้ถือ TSR ใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทแล้ว และก่อนที่บริษัทจะทำการออก POLAR-W4 นี้ บริษัทจะพิจารณาจำนวนหุ้นรองรับใบสำคัญแสดงสิทธิออกใหม่ที่ขออนุญาตเสนอขาย เมื่อรวมกับจำนวนหุ้นที่บริษัทจัดไว้ เพื่อรองรับหุ้นกู้แปลงสภาพ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิในครั้งอื่น ต้องไม่เกินกว่าสัดส่วน 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
กรณีสุดท้าย มีมติเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้พิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จากเดิม 381,694,853,490 บาท เป็น 2,254,506,645,000 บาท โดยเป็นการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 62,427,059,717 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 30 บาท คิดเป็นทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น จำนวน 1,872,811,791,510 บาท และการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน มีดังนี้
1) จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 42,574,758,600 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 30 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิของTSR
2) จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 17,029,903,440 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 30 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพ POLAR-W4
3) จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 107,118,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 30 บาท เพื่อรองรับการปรับสิทธิการใช้สิทธิแปลงสภาพ ตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท รุ่นที่ 2 (POLAR-W2) ที่ต้องปรับสิทธิเนื่องจากบริษัทมีการออกหลักทรัพย์ และหลักทรัพย์แปลงสภาพใหม่
4) จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 2,715,279,177 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 30 บาท เพื่อรองรับการปรับสิทธิการใช้สิทธิแปลงสภาพตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท รุ่นที่ 3 (POLAR-W3) ที่ต้องปรับสิทธิเนื่องจากบริษัทมีการออกหลักทรัพย์ และหลักทรัพย์แปลงสภาพใหม่
ขณะที่บอร์ดมีมติอนุมัติกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2559 ในวันศุกร์ที่ 26 ก.พ.2559 เวลา 14.00 น. ณ ห้องบอลรูม ชั้น 3 โรงแรมเดอะแกรนด์โฟร์วิงส์คอนเวนชั่น
อย่างไรก็ดี จากมติบอร์ดบริษัทครั้งที่ 11/2558 เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2558 ที่เคยอนุมัติการออก TSR ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นซึ่งได้ยกเลิกในภายหลังนั้น ยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการลดลงของราคาหุ้น บอร์ดจึงพิจารณาเลือกแนวทางนี้ โดยมีความเชื่อมั่นว่ามติดังกล่าวจะผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น เนื่องจากผู้ถือหุ้นมีเข้าใจถึงความจำเป็น และผลประโยชน์ที่จะนำมาสู่บริษัทในระยะยาว อีกทั้งการเลือกพิจารณาออก TSR แทน RO ยังได้แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการเพื่อประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นทุกรายอย่างแท้จริง
โดยบริษัทวางแผนการลงทุนจากแหล่งเงินทุนที่มาจาก TSR และจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน มูลค่ารวมประมาณ 3,397 ล้านบาท ไว้ดังนี้ ลงทุนตามสัดส่วนในบริษัทร่วมทุนโครงการ “The Sherwood” ที่ประเทศอังกฤษ จำนวน 500 ล้านบาท โครงการพังงา-วิลล่า เฟส 1 จำนวน 1,000 ล้านบาท โครงการพังงา-พัฒนาสาธารณูปโภค ส่วนแรก จำนวน 150 ล้านบาท ชำระค่าที่ดิน-ถนนพหลโยธิน จำนวน 587 ล้านบาท ชำระค่าพัฒนาที่ดิน-พหลโยธิน : ส่วนแรก จำนวน 450 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนในบริษัทย่อย (บจ.แพลทตินั่ม ออโต้ เซอร์วิส) จำนวน 400 ล้านบาท และเหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 310 ล้านบาท
สำหรับโครงการ “The Sherwood” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับพักอาศัย ดำเนินงานโดย บริษัท Glory Acme Co., Ltd. (GA) ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัท POLAR และ Mr. Jonathan Lam นักพัฒนาอสังหาหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์มานานกว่า 10 ปี ในสัดส่วนการลงทุน (49 : 51) ตั้งเป้ายอดขายรวมกว่า 7,200 ล้านบาท ซึ่ง “The Sherwood” ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูง และมียอดจองเข้ามาแล้ว จำนวน 20 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของโครงการทั้งหมด พร้อมทั้งมั่นใจว่าจะสามารถขายได้ทั้งหมดโครงการภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมทั้งโอน และทยอยรับรู้เป็นรายได้ภายในต้นปี 2560 สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของ POLAR สามารถเติบโต และสร้างรายได้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ บริษัทยังได้พัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา มีเนื้อที่รวม 657 ไร่ ทำเลที่ดินหน้าหาดติดทะเล มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เชื่อมต่อกับหาดทรายที่สวยงาม คงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก ปัจจุบันมีพันธมิตรทางธุรกิจรายใหญ่ให้ความสนใจในโครงการดังกล่าวหลายราย บริษัทจึงวางแผนจะพัฒนาโครงการในรูปแบบ Master development ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาที่ดินคล้ายการทำนิคมอุตสาหกรรม เป็นแนวทางใหม่สำหรับ Real estate Master development คือ การลงทุนในที่ดินขนาดใหญ่ พัฒนารูปแบบเมืองชายทะเล และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ โดยจะมีการพัฒนาสาธารณูปโภคในโครงการทั้งหมด รวมถึงอาจจะมีการติดต่อเครือโรงแรมห้าดาวชั้นนำต่างๆ มาร่วมพัฒนาที่ดินในแต่ละแปลงตาม Master Plan ที่บริษัทได้วางไว้
สำหรับการพัฒนา และก่อสร้างในปี 2559-2560 บริษัทจะวางแผนการลงทุนในเฟสแรก ได้แก่ การพัฒนาสาธารณูปโภค และการก่อสร้าง Pool villa residence เห็นวิวทะเล และมีทะเลสาบน้ำจืดรายรอบ สำหรับขาย จำนวน 45 หลัง จากแผนงานทั้งหมด 130 หลัง โดยกำหนดราคาขายหลังละ 43 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถขาย และทยอยรับรู้รายได้ในปี 2561 เป็นต้นไป และดำเนินการปรับพื้นที่ภูมิทัศน์ให้ที่ดินสวยงาม โดยลงทุนในส่วนงานดิน และงานถนนเมน ขุดคลองเชื่อมต่อกับทะเลสาบ สร้างรั้วโครงการระบบไฟฟ้า ทำโครงการระบบบำบัดน้ำ และในส่วนอื่นจะพัฒนาสาธารณูปโภคพร้อมกับขายที่ดินแปลงใหญ่ให้แก่นักลงทุนที่มีความชำนาญในตลาดนั้นๆ ซึ่งเป็นทั้งนักลงทุนชาวไทย และต่างประเทศที่จะเข้ามาพัฒนาโครงเป็นคอนโดมิเนียม หรือบ้านพักตากอากาศให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และบริษัทจะเป็นผู้บริหารภาพรวม หรือร่วมทุนในบางโครงการตามความเหมาะสมซึ่งเป็นแผนการพัฒนาในระยะยาว บริษัทเชื่อมั่นว่า แผนงานเหล่านี้จะสามารถสร้างรายได้ที่คุ้มค่า และเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นทุกราย
นายญาณกร วรากุลรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โพลาริส แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) หรือ POLAR เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ ครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 15 ม.ค.2559 มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจากเดิม 995,806,605,840 บาท เป็น 381,694,853,490 บาท ด้วยการยกเลิกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 20,470,391,745 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 30 บาท แบ่งเป็น
กรณีแรก ยกเลิกหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้ขายจากคราวที่แล้ว ที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวน 1,369,894,356 หุ้น
กรณีที่สอง หุ้นที่ออกเพื่อรองรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท รุ่นที่ 1 (POLAR-W1) จำนวน 185,497,389 หุ้น และสุดท้ายยกเลิกการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) และลดหุ้น จำนวน 18,915,000,000 หุ้น ที่เหลือสำรองไว้เต็มทั้งจำนวน
กรณีที่สี่ มีมติเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น และอนุมัติการออกใบแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (Transferable Subscription Right : TSR) TSR คือ ใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ เป็นสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนระยะสั้น ซึ่งจัดเป็นเครื่องมือทางการเงินหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อช่วยในขั้นตอนการเพิ่มทุน โดย 1 หน่วยใบแสดงสิทธิสามารถจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ 1 หุ้น ตามการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยประโยชน์ของใบแสดงสิทธิดังกล่าว คือ ผู้ถือหุ้นสามารถจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน สามารถขายใบแสดงสิทธิผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ เพื่อทดแทนการยกเลิก PP โดยการออก TSR จำนวนไม่เกิน 42,574,758,600 หน่วย โดยไม่คิดมูลค่าในอัตราส่วนหุ้นสามัญเดิม 1 หุ้น ได้รับการจัดสรร TSR 5 หน่วย โดยกำหนดให้ TSR 1 หน่วยใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ในราคาใช้สิทธิหุ้นละ 0.039 บาท และเพิ่มทางเลือกในการลงทุนที่คุ้มค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นที่ไม่ต้องการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน จะยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนโดยการขายสิทธิ TSR ในตลาดหลักทรัพย์ แต่ถ้าในกรณีที่ผู้ถือหุ้นไม่ต้องการจะขายสิทธิ TSR ดังกล่าวนี้ ก็จะยังสามารถใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทได้ตามปกติ เหมือน RO โดยไม่มีการเสียสิทธิ บริษัทได้กำหนดให้วันที่ 1 ก.พ.2559 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญที่โอนสิทธิได้ (Record Date) และปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 2 ก.พ.2559
กรณีที่ห้า พิจารณาอนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท รุ่นที่ 4 (POLAR-W4) จำนวน 17,029,903,440 หน่วย เพื่อขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยไม่คิดมูลค่าอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิมได้ 1 หน่วย POLAR-W4 กรณีมีเศษของใบสำคัญแสดงสิทธิเหลือจากการคำนวณตามอัตราส่วนการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวให้ตัดเศษดังกล่าวทิ้งทั้งจำนวน
ทั้งนี้ บริษัทจะออก POLAR-W4 ภายหลังจากที่ผู้ถือ TSR ใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทแล้ว และก่อนที่บริษัทจะทำการออก POLAR-W4 นี้ บริษัทจะพิจารณาจำนวนหุ้นรองรับใบสำคัญแสดงสิทธิออกใหม่ที่ขออนุญาตเสนอขาย เมื่อรวมกับจำนวนหุ้นที่บริษัทจัดไว้ เพื่อรองรับหุ้นกู้แปลงสภาพ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิในครั้งอื่น ต้องไม่เกินกว่าสัดส่วน 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
กรณีสุดท้าย มีมติเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้พิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จากเดิม 381,694,853,490 บาท เป็น 2,254,506,645,000 บาท โดยเป็นการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 62,427,059,717 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 30 บาท คิดเป็นทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น จำนวน 1,872,811,791,510 บาท และการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน มีดังนี้
1) จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 42,574,758,600 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 30 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิของTSR
2) จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 17,029,903,440 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 30 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพ POLAR-W4
3) จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 107,118,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 30 บาท เพื่อรองรับการปรับสิทธิการใช้สิทธิแปลงสภาพ ตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท รุ่นที่ 2 (POLAR-W2) ที่ต้องปรับสิทธิเนื่องจากบริษัทมีการออกหลักทรัพย์ และหลักทรัพย์แปลงสภาพใหม่
4) จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 2,715,279,177 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 30 บาท เพื่อรองรับการปรับสิทธิการใช้สิทธิแปลงสภาพตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท รุ่นที่ 3 (POLAR-W3) ที่ต้องปรับสิทธิเนื่องจากบริษัทมีการออกหลักทรัพย์ และหลักทรัพย์แปลงสภาพใหม่
ขณะที่บอร์ดมีมติอนุมัติกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2559 ในวันศุกร์ที่ 26 ก.พ.2559 เวลา 14.00 น. ณ ห้องบอลรูม ชั้น 3 โรงแรมเดอะแกรนด์โฟร์วิงส์คอนเวนชั่น
อย่างไรก็ดี จากมติบอร์ดบริษัทครั้งที่ 11/2558 เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2558 ที่เคยอนุมัติการออก TSR ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นซึ่งได้ยกเลิกในภายหลังนั้น ยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการลดลงของราคาหุ้น บอร์ดจึงพิจารณาเลือกแนวทางนี้ โดยมีความเชื่อมั่นว่ามติดังกล่าวจะผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น เนื่องจากผู้ถือหุ้นมีเข้าใจถึงความจำเป็น และผลประโยชน์ที่จะนำมาสู่บริษัทในระยะยาว อีกทั้งการเลือกพิจารณาออก TSR แทน RO ยังได้แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการเพื่อประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นทุกรายอย่างแท้จริง
โดยบริษัทวางแผนการลงทุนจากแหล่งเงินทุนที่มาจาก TSR และจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน มูลค่ารวมประมาณ 3,397 ล้านบาท ไว้ดังนี้ ลงทุนตามสัดส่วนในบริษัทร่วมทุนโครงการ “The Sherwood” ที่ประเทศอังกฤษ จำนวน 500 ล้านบาท โครงการพังงา-วิลล่า เฟส 1 จำนวน 1,000 ล้านบาท โครงการพังงา-พัฒนาสาธารณูปโภค ส่วนแรก จำนวน 150 ล้านบาท ชำระค่าที่ดิน-ถนนพหลโยธิน จำนวน 587 ล้านบาท ชำระค่าพัฒนาที่ดิน-พหลโยธิน : ส่วนแรก จำนวน 450 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนในบริษัทย่อย (บจ.แพลทตินั่ม ออโต้ เซอร์วิส) จำนวน 400 ล้านบาท และเหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 310 ล้านบาท
สำหรับโครงการ “The Sherwood” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับพักอาศัย ดำเนินงานโดย บริษัท Glory Acme Co., Ltd. (GA) ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัท POLAR และ Mr. Jonathan Lam นักพัฒนาอสังหาหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์มานานกว่า 10 ปี ในสัดส่วนการลงทุน (49 : 51) ตั้งเป้ายอดขายรวมกว่า 7,200 ล้านบาท ซึ่ง “The Sherwood” ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูง และมียอดจองเข้ามาแล้ว จำนวน 20 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของโครงการทั้งหมด พร้อมทั้งมั่นใจว่าจะสามารถขายได้ทั้งหมดโครงการภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมทั้งโอน และทยอยรับรู้เป็นรายได้ภายในต้นปี 2560 สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของ POLAR สามารถเติบโต และสร้างรายได้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ บริษัทยังได้พัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา มีเนื้อที่รวม 657 ไร่ ทำเลที่ดินหน้าหาดติดทะเล มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เชื่อมต่อกับหาดทรายที่สวยงาม คงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก ปัจจุบันมีพันธมิตรทางธุรกิจรายใหญ่ให้ความสนใจในโครงการดังกล่าวหลายราย บริษัทจึงวางแผนจะพัฒนาโครงการในรูปแบบ Master development ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาที่ดินคล้ายการทำนิคมอุตสาหกรรม เป็นแนวทางใหม่สำหรับ Real estate Master development คือ การลงทุนในที่ดินขนาดใหญ่ พัฒนารูปแบบเมืองชายทะเล และจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ โดยจะมีการพัฒนาสาธารณูปโภคในโครงการทั้งหมด รวมถึงอาจจะมีการติดต่อเครือโรงแรมห้าดาวชั้นนำต่างๆ มาร่วมพัฒนาที่ดินในแต่ละแปลงตาม Master Plan ที่บริษัทได้วางไว้
สำหรับการพัฒนา และก่อสร้างในปี 2559-2560 บริษัทจะวางแผนการลงทุนในเฟสแรก ได้แก่ การพัฒนาสาธารณูปโภค และการก่อสร้าง Pool villa residence เห็นวิวทะเล และมีทะเลสาบน้ำจืดรายรอบ สำหรับขาย จำนวน 45 หลัง จากแผนงานทั้งหมด 130 หลัง โดยกำหนดราคาขายหลังละ 43 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถขาย และทยอยรับรู้รายได้ในปี 2561 เป็นต้นไป และดำเนินการปรับพื้นที่ภูมิทัศน์ให้ที่ดินสวยงาม โดยลงทุนในส่วนงานดิน และงานถนนเมน ขุดคลองเชื่อมต่อกับทะเลสาบ สร้างรั้วโครงการระบบไฟฟ้า ทำโครงการระบบบำบัดน้ำ และในส่วนอื่นจะพัฒนาสาธารณูปโภคพร้อมกับขายที่ดินแปลงใหญ่ให้แก่นักลงทุนที่มีความชำนาญในตลาดนั้นๆ ซึ่งเป็นทั้งนักลงทุนชาวไทย และต่างประเทศที่จะเข้ามาพัฒนาโครงเป็นคอนโดมิเนียม หรือบ้านพักตากอากาศให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และบริษัทจะเป็นผู้บริหารภาพรวม หรือร่วมทุนในบางโครงการตามความเหมาะสมซึ่งเป็นแผนการพัฒนาในระยะยาว บริษัทเชื่อมั่นว่า แผนงานเหล่านี้จะสามารถสร้างรายได้ที่คุ้มค่า และเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นทุกราย