บล.โกลเบล็ก ชี้ตลาดหุ้นไทยปีวอกผันผวนต่อเนื่อง ทั้งจากแรงกดดันเฟดจ่อขึ้นดอกเบี้ย บวกกับเศรษฐกิจจีน ยุโรปชะลอตัว กระทบส่งออก แนะจับตาการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวมั่นคง ผลักดัน EPS ของ บจ.ขยับสูงขึ้น และหนุนให้หุ้นไทยมีระดับ P/E ถูกกว่าตลาดประเทศอื่น หวังดูดเม็ดเงินฝรั่งกลับ แนะกรอบดัชนีหุ้นไทยปีหน้า 1,190-1,510 จุด ด้านราคาทองคำมีแนวโน้มลงต่อ มองกรอบการเคลื่อนไหวที่ 800-1,300 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยปี 2559 จะมีความผันผวนสูงต่อเนื่องจากปี 2558 เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวดีขึ้น โดยคาดว่าในปี 2559 ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะทยอยปรับอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate ขึ้นครั้งละ 0.25% จำนวน 4 ครั้ง รวม 1.00% ซึ่งส่งผลให้กระแส Fund flow มีความผันผวนสูง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ เช่น จีน และยุโรป ยังคงชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อทิศทางการส่งออกของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นตามการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเป็นแรงหนุนให้ดัชนี SET สามารถรีบาวนด์ขึ้นได้
นอกจากนี้ คาดว่า Fund flow ต่างชาติจะยังไม่ไหลเข้า เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed จะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และทำให้ Fund flow ที่ไหลเข้าอาจขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยยังต้องรอภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพเพื่อผลักดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนให้สูงขึ้น และหนุนให้หุ้นไทยมีระดับ P/E ถูกกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเพื่อดึงดูดให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าลงทุนอีกครั้ง
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด แนะนำ กลยุทธ์การลงทุนปี 2559 โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ระดับ 1,190-1,510 จุด อิงสมมติฐาน GDP ปี 2559 ขยายตัว 4% ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง และจะช่วยหนุน EPS ของบริษัทจดทะเบียน และดัชนี SETให้สูงขึ้น จากการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐผ่านการประมูลโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะเร่งตัวมากขึ้นในปี 2559 อีกทั้งการลงทุนภาคเอกชนที่มีความเชื่อมั่นมากขึ้น รวมทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะช่วยหนุนต่อภาคการส่งออก
อย่างไรก็ตาม ปี 2559 ก็ยังคงมีปัจจัยที่น่าจับตา เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อ fund flow และความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก บวกกับภาวะเศรษฐกิจไทยยังต้องรอการฟื้นตัวที่ชัดเจน รวมทั้งปัญหา NPL และภาระหนี้สินสูงของภาคครัวเรือนจากสัดส่วนหนี้สินที่อยู่ระดับสูง ประกอบกับเหตุก่อการร้ายที่เป็นภัยคุกคามการฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรโซน
“กลยุทธ์การลงทุนในปี 2559 แนะนำซื้อสะสมช่วงอ่อนตัวบริเวณ 1,200-1,250 จุด โดยเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารเลือกหุ้นที่ P/BV ต่ำ และมี Dividend Yield สูง แนะนำ KTB เด่นสุด รองลงมา กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ได้อานิสงส์จากแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยว แนะนำ AOT อย่างไรก็ตาม แนะนำหลีกเลี่ยงลงทุนในกลุ่มที่ทำธุรกิจนำเข้า หรือกลุ่มที่มีหนี้ต่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐสูง เช่น THCOM PTTEP”
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางราคาทองคำในปี 2559 จะยังมีแนวโน้มปรับลงต่อแต่จะไม่รุนแรงมากเท่ากับปีที่ผ่านมา หลังราคาปรับลงแรงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี 2556 โดยกรอบแกว่งตัวในกรอบ 800-1,300 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์ โดยมีปัจจัยที่กดดันราคาทองมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่มีแนวโน้มปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2559 หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2558 ออกมามีแนวโน้มแข็งแกร่ง โดยมีการประเมินว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอีกโดยเฉลี่ยไตรมาสละครั้ง (จากการคาดการณ์ของโกลด์แมน แซคส์ หรือราว 1% ในปีหน้า)
อย่างไรก็ตาม การออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ของธนาคารกลางยุโรปจะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินยูโรจากปัจจัยข้างต้นที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวสร้างแรงหนุนต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐให้แข็งค่าขึ้นเป็นปัจจัยกดดันทองคำ อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางที่ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และชาติพันธมิตรฝั่งตะวันตก นำโดยสหรัฐฯ จะทำให้มีเงินลงทุนบางส่วนย้ายเข้ามาในทองคำเพื่อลดความเสี่ยง รวมถึงการเข้าสะสมทองคำของจีน โดยล่าสุด ทองคำสำรองของจีน ณ สิ้นเดือน พ.ย.2558 อยู่ที่ 56.05 ล้านออนซ์ (ราว 1,743 ตัน) เพิ่มขึ้น 670,000 ออนซ์ (ราว 21 ตัน) จาก ณ สิ้นเดือน ต.ค. ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเสถียรภาพของมูลค่าของเงินหยวนเพื่อรองรับมติไอเอ็มเอฟที่จะเพิ่มสกุลเงินหยวนเป็นหนึ่งในสกุลเงินทุนสำรองระหว่างประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2559 จะสร้างปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำ ดังนั้น ทิศทางของราคาทองคำในปี 2559 จะยังมีความเสี่ยงที่จะปรับลงต่อแต่จะลดความรุนแรงลง
ทั้งนี้ มองว่ากลยุทธ์การลงทุนในทองคำควรเน้นการลงทุนไปทางด้านเปิดสถานะ SHORT เพื่อเล่นรอบในทิศทางของขาลง โดยจะเป็นการรอเปิดสถานะ SHORT ช่วงที่ราคาทองมีการฟื้นตัวเพื่อลดความเสี่ยงระยะสั้นของราคาทองที่ปรับลงมามากนับแต่ปี 2556 โดยให้แนวรับ 800-740 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,300-1,390 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์