ปี 59 อสังหาฯ ศรีราชารุ่ง แม้ปี 58นี้ ตลาดหดตัว 30% แบงก์เข้มปล่อยกู้ลูกค้าระดับล่าง ระบุไม่กระทบตลาดชลบุรี เหตุ GDP จังหวัดขยายตัวสูง 12% ต่อปี ฟันธงโครงการคมนาคม สาธารณูปโภคภาครัฐ และการขยายการลงทุนนิคมอุตฯ และกลุ่มโรงงานอุตฯ หนุนดีมานด์ที่อยู่อาศัยพุ่ง ด้าน “วี.เอ็ม.พี.ซี.” เผยปี 59 ทุ่มงบ 7,000 ล้านบาท เดินหน้าลงทุน รร.4 ดาว-อสังหาฯ ในศรีราชา
นายปริญญา เธียรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี จำกัด กล่าวว่า ภาพตลาดรวมปี 59 เชื่อว่าผู้บริโภคยังไม่มีอารมณ์ที่จะซื้อที่อยู่อาศัย เพราะหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่สูง จึงมีความกังวลเรื่องปากท้องมากกว่า หรือหากผู้ประกอบการมีการเปิดตัวโครงการใหม่ก็จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ยาก อย่างไรก็ดี ต้องติดตามการลงทุนโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่จะออกมาว่าจะสามารถลงทุนได้เร็วแค่ไหน เพราะหากสามารถลงทุนได้จริง ก็จะมีเงินหมุนรอบไปในระบบเศรษฐกิจต่อไป
สำหรับอสังหาฯ ในต่างจังหวัด เชื่อว่า โซนภาคตะวันออกยังมาแรง เพราะอยู่ไม่ไกลจาก กทม.มากนัก และระบบสาธารณูปโภคมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นแหล่งนิคมอุตสาหกรรม เป็นโซนเมืองท่าของประเทศไทย และเป็นเมืองท่องเที่ยง โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรี จึงมีดีมานด์อยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่มาจาก กทม.สามารถตอบโจทย์ได้ดี เชื่อว่าในปี 59 มูลค่าการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรีจะแซงกรุงเทพฯ ยิ่งหากรวมโครงการที่ผู้ประกอบการเข้าไปพัฒนาในจังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดระยอง มูลค่าก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าโครงการที่พัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล
ทั้งนี้ บริษัทขยายฐานตลาดไปยัง อ.ศรีราชา โดยได้พัฒนาโรงแรมระดับ 4 ดาว ทั้งนี้ การที่บริษัทขยายฐานธุรกิจไปยังศรีราชา เพราะมองว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพในด้านการลงทุน มีแหล่งงาน จึงซื้อที่ดินจำนวน 12 ไร่ เพื่อพัฒนาโรงแรมระดับ 4 ดาว โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 4 เฟส มูลค่าการลงทุน 7,000 ล้านบาท โดยเฟสแรกพัฒนาบนพื้นที่ 2 ไร่ เป็นโรงแรมสูง 44 ชั้น ขนาด 460 ห้อง ใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาท คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการได้ในปี 61
“การที่เราเข้าไปพัฒนาโครงการโรงแรมใน อ.ศรีราชา นั้น เพราะมองว่าเป็นโมเดลธุรกิจของบริษัทที่เติบโตมาจากธุรกิจให้เช่า คือ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่ปัจจุบันมีรายได้จากธุรกิจดังกล่าวในสัดส่วน 50% แต่ในอนาคตก็จะมีการสลับสัดส่วนรายได้ระหว่างธุรกิจให้เช่า กับธุรกิจเพื่อขาย โดยปี 59 สัดส่วนรายได้จากการขายจะอยู่ที่ 70% ขณะที่ปี 60-61 สัดส่วนรายได้จากธุรกิจให้เช่าจะขึ้นมาอยู่ที่ 70% เช่นกัน”
แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ จ.ชลบุรี ในปี 58 นี้ ยังมีอัตราการเติบโตที่ลดลง 30% ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินก็มีการเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มระดับล่าง แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดใน จ.ชลบุรี เพราะเป็นจังหวัดที่มีระดับ GDP สูง โดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 12% ต่อปี และยังมีการขยายตัวของกลุ่มอุตสาหกรรม และการเกิดใหม่ของนิคมอุตสาหกรรม จึงถือเป็นแรงจูงใจที่ดีในการลงทุน ซึ่งมีทั้งรูปแบบของคอนโดมิเนียม โครงการแนวราบอย่างบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ หากมีการพัฒนาในทำเลที่ดีมีศักยภาพ สินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย ก็สามารถปิดการขายได้เร็ว ซึ่งในปีนี้มีผู้ประกอบการหลายรายที่หันไปเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ใกล้นิคมอุตสาหกรรม เป็นอย่างมาก อาทิ อ.ศรีราชา ที่ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และโรงแรม เกิดใหม่จำนวนมาก
ก่อนหน้านี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานว่า ชลบุรีมีนิคมอุตสาหกรรมมาก จึงเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการจัดสรร และคอนโดฯ ปัจจุบัน ชลบุรีมีโครงการจัดสรร 390-400 โครงการ หรือประมาณ 53,000 หน่วย มูลค่ากว่า 157,000 ล้านบาท โดยศรีราชามีโครงการจัดสรร 105 โครงการ จำนวน 18,300 หน่วย มูลค่า 50,000 ล้านบาท สินค้าส่วนใหญ่ระดับราคา 2-3 ล้านบาท ซึ่งที่อยู่อาศัยในศรีราชาถือเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 จากโครงการทั้งจังหวัดชลบุรี และมีขนาดใหญ่กว่าค่าเฉลี่ยถึง 175% โดยสัดส่วน 94% เป็นผู้ประกอบการในท้องถิ่น และอีก 6% เป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบัน ทั้งจังหวัดมีหน่วยเหลือขาย 21,600 หน่วย (จากผังโครงการทั้งหมด 18,300 หน่วย) ขณะที่อำเภอศรีราชา มีจำนวนหน่วยเหลือขาย 8,100 หน่วย
ส่วนโครงการประเภทคอนโดมิเนียมทั้งจังหวัดชลบุรี ในปี 58 มีการพัฒนาทั้งสิ้น 260 โครงการ จำนวน 86,000 หน่วย เฉพาะที่ศรีราชา มีคอนโดฯ 17 โครงการ จำนวน 5,400 หน่วย ซึ่งถือว่ายังมีจำนวนน้อย เพราะส่วนใหญ่ผู้ประกอบการจะไปพัฒนาทำเลบางละมุง พัทยา จอมเทียน สัตหีบ ปัจจุบัน ในศรีราชามีคอนโดฯ เหลือขาย 1,400 หน่วย และหากรวม 2 โครงการใหม่ที่เปิดในไตรมาส 4 นี้ อีกจำนวน 965 หน่วย ก็จะมีจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งสิ้นกว่า 2,000 ยูนิต ทำให้เชื่อว่าในปี 59 คอนโดฯ ในศรีราชา ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก เพราะยังมีโครงการเชิงพาณิชย์เปิดตัวอีกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ที่ดินโดยรอบมีราคาสูงขึ้น จึงเหมาะที่จะพัฒนาในรูปแบบคอนโด