“คลัง” กระทุ้ง 3 กรมภาษีเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อุดช่องโหว่การรั่วไหลของรายได้ แฉพฤติกรรมผู้ประกอบการหัวหมอเพิ่มขึ้นอื้อ ทั้งเลี่ยงภาษี และจ่ายต่ำกว่าความเป็นจริง
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้กรมภาษีทุกกรม ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี โดยเฉพาะการอุดช่องโหว่จากการเก็บภาษีที่รั่วไหล ทำให้การเก็บภาษีของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ นายสมชัย ได้ให้ความสำคัญการอุดช่องโหว่ในการเก็บภาษีที่รั่วไหลของกรมสรรพากรเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการเก็บภาษีภาษีนิติบุคคลรายใหญ่ ซึ่งปลัดกระทรวงการคลังคิดว่าการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้มีผู้ประกอบการจำนวนมากหนีภาษี หรือเลี่ยงจ่ายภาษีไม่ครบเป็นจำนวนมาก
รายงานข่าวระบุว่า การเก็บภาษีของกรมสรรพกรในปีงบประมาณ 2558 ต่ำกว่าเป้าถึง 2.35 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการเก็บภาษีนิติบุคคลต่ำกว่าเป้าถึง 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งไม่น่าจะมาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างเดียว
ทั้งนี้ ยืนยันว่าปลัดกระทรวงการคลังได้ตามติดเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บภาษีของกรมภาษีอย่างมาก ได้มีการสั่งการให้ทำแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม ปฏิบัติได้ผลจริง โดยในส่วนของกรมสรรพากรไม่ส่งแผนมาให้พิจารณาตามกำหนด ปลัดกระทรวงการคลังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทวงแผนงานของกรมสรรพากรทันที เพราะต้องการแก้ไขปัญหาการเก็บภาษีตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังเป็นห่วงเรื่องการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลค่อนข้างมาก เพราะกลัวว่าจะทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายเหมือนปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะมีเงินพิเศษจากการประมูลโทรศัพท์ 4จี เข้ามาช่วย แต่ก็เป็นรายได้ชั่วคราว และการเก็บรายได้จากภาษีคิดเป็นกว่า 90% ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ หากการเก็บภาษีมีปัญหา การเก็บรายได้ภาพรวมก็จะแย่ไปด้วย
ทั้งนี้ ไม่เพียงนายสมชัยจะจี้การทำงานของกรมสรรพากรแล้ว ยังจี้กรมศุลกากรให้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บเช่นกัน โดยให้เร่งไปปิดการรั่วไหลของด่านต่างๆ โดยเฉพาะด่านขนาดใหญ่ที่มีการนำเข้าสินค้าจำนวนมากๆ เพราะการเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2559 ในเดือน ต.ค.2558 ซึ่งเป็นเดือนแรกเก็บได้กว่าเป้าหมาย เนื่องจากการเก็บภาษีของทั้งสามกรมภาษีเก็บได้ต่ำกว่าเป้า โดยกรมสรรพากรเก็บภาษีต่ำกว่าเป้ามากที่สุด 2.1 พันล้านบาท เป็นการเก็บภาษีนิติบุคคลต่ำกว่าเป้า 1.2 พันล้านบาท
อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังได้เตรียมเสนอแผนการปฏิรูปโครงสร้างภาษีทั้งหมดให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาภายในเดือนนี้ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทีละส่วนในปีหน้า โดยจะต้องมีการกำหนดเวลาให้มีผลบังคับใช้อย่างมีความเหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง และเศรษฐกิจ
โดยแผนการปฏิรูปโครงสร้างภาษีทั้งหมดที่จะเสนอนั้น จะเป็นทั้งเรื่องการแก้ไขกฎหมายต่างๆ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจะยึดหลัก 4 ด้าน คือ ทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เสียภาษี การเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ทำให้มีรายได้เพียงพอต่อการใช้จ่าย เพื่อรองรับเศรษฐกิจในอนาคตที่จะต้องมีรายจ่ายจากด้านสังคม การศึกษา และระบบสาธารณสุขเพิ่มขึ้นจำนวนมาก