วี.เอ็ม.พี.ซี. ชี้ปี 59 กรุงเทพฯ-ปริมณฑลเริ่มชะลอตัว โซนตะวันออกแซงหน้า ปัจจัยหนุนเพียบ ภาพรวมไม่สดใสจากภาวะภัยแล้งยังกระทบต่อเนื่องต่อภาคเกษตรกรรม ตัวแปรหลักที่กระทบต่อการส่งออกในปีหน้า คาดปีหน้า อสังหาฯ โซนตะวันออกแซงหน้า กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปัจจัยบวกเพียบทั้งการลงทุนด้านสาธารณูปโภคในอภิโปรเจกต์จากภาครัฐ ฉายแวว เวนิชแห่งอาเซียนชัดในปีหน้า วี.เอ็ม.พี.ซี. เล็งเป้าระยะยาว พร้อมทุ่มงบ 7,000 ล้าน เนรมิตโรงแรมหรู 44 ชั้น กลางเมืองศรีราชา รองรับกลุ่มทุน และนักท่องเที่ยว
นายปริญญา เธียรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี. จำกัด วิเคราะห์ถึงแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ในปี 2559 ว่า ในปีหน้ายังคงมีปัจจัยบวกและลบมากมายทั้งในด้านภาพรวมของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ที่ในภาพรวมจะมาจากส่วนหลักๆ คือ ภาคเกษตรกรรม และการส่งออก ภาคอุตสาหกรรมการลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งในภาคเกษตรกรรมยังคงตกต่ำอย่างต่อเนื่องจากภาวะภัยแล้ง
ซึ่งจากปริมาณน้ำสำรองในเขื่อนโดยรวมทั้งประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จะชี้ให้เห็นว่า เมื่อเทียบจากวันนี้ของปีที่แล้ว อยู่ที่ 45,000 ลบ.ม. ส่วนปีนี้อยู่ที่ประมาณ 40,000 ลบ.ม. จากความจุสูงสุดที่ 79,150 ลบ.ม. ซึ่งมีผลกระทบต่อภาคการส่งออกอย่างแน่นอน ผนวกกับความผันผวน และชะลอของเศรษฐกิจโลก ทำให้การเติบโตของอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างๆ จะชะลอตัวลง แต่ยังคงมีปริมาณ Supply ที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในปีหน้า และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงเป็นปัญหาหลักของผู้บริโภคในปีหน้า ยังคงทำให้กลุ่มที่อยู่อาศัยในระดับกลางถึงล่างยังคงชะลอตัว ถึงแม้จะมีมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อจากภาครัฐ แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของที่อยู่อาศัยระดับบนก็จะมีการขยายตัวและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจอาจไม่กระทบต่อกำลังซื้อของกลุ่มนี้มากนัก
ในส่วนของการพัฒนาในหัวเมืองหลักนั้น ยังมีทำเลที่น่าจับตามอง ได้แก่ โซนภาคตะวันออก และภาคอีสาน ในหัวเมืองสำคัญ ซึ่งยังคงมีทิศทางที่สดใสจากการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ของภาครัฐ ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านในปีหน้า ซึ่งจะส่งผลต่อการเกิดการลงทุน และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในทำเลใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน
ปีหน้าฉายภาพชัด ภาคตะวันออก เวนิชแห่งอาเซียน
นายปริญญา กล่าวต่อไปว่า จากปัจจัยบวกของภาคอุตสาหกรรม การลงทุน และการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มที่ยังสดใส เมื่อเปรียบเทียบกับเซกเตอร์อื่นๆ ซึ่งจะถือเป็นกลไกที่สำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดที่อยู่อาศัยในภาคตะวันออกทั้งระยอง-ชลบุรี จะมีการเติบโตอย่างคึกคัก โดย “ชลบุรี” ถือเป็นจังหวัดที่ถูกจัดว่ามีขนาดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ จากข้อมูลล่าสุด ในพื้นที่ ชลบุรี มีที่อยู่อาศัยแนวราบเหลือขายสะสมประมาณ 21,561 ยูนิต มูลค่ากว่า 62,689 ล้านบาท ส่วนปริมาณที่อยู่อาศัยประเภทห้องชุดเหลือขายสะสมประมาณ 22,853 ยูนิต มูลค่ากว่า 65,192 ล้านบาท และคาดว่าในปีหน้า จำนวนยูนิตจะแซงหน้าเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้ไม่ยาก
และจากปัจจัยหนุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบใหม่รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ในด้านต่างๆ จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนที่มากขึ้นในโซนตะวันออก, แผนการขยายท่าเรือแหลมฉบังเพื่อเพิ่มศักยภาพบูรณาการรวมขนส่งทุกโหมด มุ่งเป็น “ฮับลอจิสติกส์” ของอาเซียน โครงการความร่วมมือระหว่างไทย-จีน เพื่อก่อสร้างรถไฟทางคู่ขนาดรางมาตรฐาน 1.435 เมตร (Standard Gauge) เส้นทางหนองคาย-โคราช-แก่งคอย-ท่าเรือ มาบตาพุด ระยะทาง 873 กิโลเมตร เริ่มก่อสร้างในปี 2559 รวมถึงความคืบหน้าของการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ เข้าสู่แหลมฉบัง และแผนการสร้างสนามบินอู่ตะเภา การจัดสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ ในพื้นที่กว่า 65 ไร่ ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นถึง 3 ล้านคนต่อปี หรือ 1,500 คนต่อชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในเดือนมิถุนายน 2559 นี้
ซึ่งแน่นอนว่า ในปีนี้ภาพของ “กทม.เป็นเมืองหลวง ...ภาคตะวันออก เป็นเมืองท่า หรือเวนิชแห่งอาเซียน” ก็จะฉายภาพที่ชัดเจนมากขึ้น
วี.เอ็ม.พี.ซี. เปิดกลยุทธ์ กางแผนการลงทุนในปีหน้า
นายปริญญา เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจว่า ยังคงเน้น Business Model ที่เน้นสัดส่วนทั้งตลาดเช่าและขายอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงทั้งในช่วงที่เศรษฐกิจขาขึ้นและขาลง โดยคาดว่าในปีหน้าสัดส่วนจะอยู่ที่ประมาณ 30:70 (เช่า:ขาย) ซึ่งบิซิเนสโมเดลของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีทั้ง 2 ขา คือ เช่าและขายจะส่งผลดีต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากในช่วงที่เศรษฐกิจดีส่วนขายจะดีมาก และจะดันให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็วมาก ซึ่งถือว่าดีมาก แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มถดถอย เมื่อเรามีทั้งเช่าและขายเราก็จะไม่ต้องกังวลมากนักกับตัวรายได้ที่เข้ามา เพราะส่วนเช่ามันก็จะเลี้ยงธุรกิจได้อยู่แล้ว ซึ่งในส่วนของตลาดเช่าของบริษัทจะกระจายครอบคลุมในทุกๆ กลุ่มเป้าหมายทั้งระดับกลางที่เป็นนักศึกษาและคนทำงาน จนกระทั้งไปถึงกลุ่มนักธุรกิจ นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติ
สำหรับในส่วนของตลาดขายบริษัทฯ จะมุ่งเน้นเจาะตลาดระดับบน ในทำเลที่มีศักยภาพ คือ เน้นทำเลติดถนนสายหลัก ซึ่งจะส่งผลดีทั้งในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลง โดยในช่วงเศรษฐกิจขาลงจะไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายมากนัก เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูงอยู่แล้ว
สำหรับในปีนี้ บริษัทฯ จึงได้เริ่มพัฒนาโครงการอาคารสูงในทำเล ศักยภาพ คือ “ศรีราชา” โดยโครงการล่าสุดที่เริ่มพัฒนาในปีนี้ คือ โครงการ อาทาระ โฮเทล ศรีราชา (ATARA HOTEL SRIRACHA) โรงแรมหรูสูง 44 ชั้น บนเนื้อที่ 12 ไร่ใจกลางเมืองศรีราชาใกล้กับโรบินสันศรีราชา และห่างจากโรงพยาบาลพญาไทเพียง 300 เมตร ซึ่งถูกออกแบบภายใต้แนวคิด Modern Oriental Style ที่ผสานแนวคิดการตกแต่งในแบบวิถีโลกตะวันออก และความทันสมัยแบบวิถีชีวิตของคนยุคใหม่เข้าด้วยกันอย่างลงตัว มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างในส่วนของฐานราก คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการเพื่อรองรับชาวไทยและชาวต่างชาติได้ในปี 2561 นี้อย่างแน่นอน
นอกจากนั้น ในส่วนของการพัฒนาโครงการในแนวราบ บริษัทฯ ยังคงเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “แอสเทรา” โดยในปีหน้ามีแผนจะเปิด โครงการบ้านจัดสรร บนทำเลศักยภาพติดถนนพระราม 2 เตรียมพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยสไตล์โมเดิร์น บนเนื้อที่โครงการรวม 28 ไร่ ขณะนี้ได้ดำเนินการพัฒนาก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค และบ้านตัวอย่าง คาดจะเริ่มเปิดขายประมาณต้นปี 2559.