นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุท่าทีในการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ส่งผลต่อทิศทางราคาทองในตลาดโลก มากกว่าสถานการณ์ตึงเครียดในทวีปยุโรป ทั้งการโจมตีกรุงปารีสประเทศฝรั่ง ต่อเนื่องถึงตุรกีได้ยิงเครื่องบินรบรัสเซียตก ขณะที่ค่าเงินบาทส่งผลต่อราคาทองในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 58 ค่าเงินบาทอ่อนค่าไปเพียง 24 สตางค์ (ณ ราคาปัจจุบันที 35.86 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) จากการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งไม่ทำให้ราคาทองคำในประเทศแตกต่างจากราคาทองคำต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
"ความตึงเครียดในยุโรปมีผลต่อราคาทองคำเพียงเล็กน้อย วายแอลจีมองว่าประเด็นหลักของทิศทางความเคลื่อนไหวของตลาดทองคำในขณะนี้ยังคงอยู่ที่การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FOMC) ในช่วงวันที่ 15-16 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งคาดการณ์กันว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากคงที่ในระดับ 0-0.25% มาเป็นระยะเวลายาวนาน" นางสาวฐิภา กล่าว
เบื้องต้นวายแอลจีประเมินแนวรับในช่วงเดือนธันวาคมไว้ที่บริเวณ 1,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ ประมาณ17,800 บาทต่อบาททองคำ หากหลุดจะมีแนวรับสำคัญถัดไปในบริเวณ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์หรือประมาณ 16,900 บาทต่อบาททองคำ โดยกลยุทธ์การลงทุนนั้นนักลงทุนระยะสั้นอาจต้องเน้นการเก็งกำไรในกรอบโดยใช้ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯประกอบการตัดสินใจลงทุน ขณะที่นักลงทุนระยะกลางถึงยาว อาจใช้แนวรับดังกล่าวข้างต้นเป็นจุดสะสมซื้อทองคำ โดยอาจชะลอการถือทองคำหากราคาหลุด 950 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 16,100 บาทต่อบาททองคำ สำหรับแนวต้านประเมินที่ 1,100-1,140 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์หรือประมาณ 18,600-19,300 บาทต่อบาททองคำ
