ศุภาลัย มั่นใจสิ้นปีกวาดยอดขายเกินเป้า 21,000 ล้านบาท อานิสงส์ “ศุภาลัย ริวา แกรนด์” กวาดยอดขายแล้วกว่า 3,500 ล้านบาท พร้อมประกาศบุกตลาดแนวราบหลังยอดขายทะลุหมื่นล้านบาท ปี 59 จ่อเปิด 20 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท เผยตุนแลนด์แบงก์มากสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนใช้ราคาประเมินใหม่ล่าสุดใช้งบซื้อที่ดินไปแล้ว 6,500 ล้านบาท อยู่ระหว่างเจรจาอีกกว่า 10 แปลง
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมโครงการแนวราบทุกโครงการของศุภาลัยในปี 2558 มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยมียอดขายเดือนละกว่า 1,000 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายโครงการแนวราบราว 10,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 20% เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มียอดขายโครงการแนวราบ 8,332 ล้านบาท ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมสร้างยอดขายได้แล้ว 11,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากยอดขายโครงการศุภาลัย ริวา แกรนด์ จำนวน 3,500 ล้านบาท รวมยอดขายทั้งหมด 21,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าถึงสิ้นปีจะมียอดขายกว่า 22,000 ล้านบาท
ในปีนี้บริษัทฯ วางแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในแนวราบทั้งสิ้น 19 โครงการ จำนวนกว่า 4,700 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 18,160 ล้านบาท ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองต่างจังหวัด คิดเป็น 42% ของพอร์ต และคาดว่าในปี 59 สัดส่วนโครงการแนวราบจะเพิ่มเป็น 50% ทั้งในจังหวัดที่มีการพัฒนาโครงการอยู่แล้ว และจังหวัดใหม่ๆ อีกทั้งยังมีการเปิดตัวโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่ของศุภาลัย เช่น ศุภาลัย พรีมา วิลล่า, ศุภาลัย ไพรด์ และศุภาลัย พรีโม่ เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และเตรียมขยายฐานการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวบ้านหรูศุภาลัย พรีมา วิลล่า พุทธมณฑลสาย 3 ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ของบริษัท ราคา 7.9-16 ล้านบาท ที่เน้นนวัตกรรมการสร้างสรรค์แบบบ้านใหม่ล่าสุด ทันสมัย ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชันการใช้งาน และประหยัดพลังงาน
นายไตรเตชะ กล่าวต่อว่า ในปี 2559 จะเดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในแนวราบเพิ่มขึ้น โดยเน้นขยายตลาดกระจายในทุกทำเลศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการแนวราบไม่ต่ำกว่า 20 โครงการ มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท เน้นขยายตลาดไปทุกทำเล ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างการขาย 51 โครงการ มูลค่า 57,000 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขาย 32,000 ล้านบาท
“ในปีนี้บริษัทเน้นการซื้อที่ดินแลนด์แบงก์เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต เนื่องจากเห็นว่าต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ อัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับต่ำด้วย ในขณะที่ราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีเจ้าของที่ดินนำที่ดินมาเสนอขายให้จำนวนมาก จึงเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต โดยเดือนที่ผ่านมา ซื้อที่ดิน 3-4 แปลง ส่งผลให้ปัจจุบันมีที่ดินเพื่อรอพัฒนากว่า 40 แปลง รองรับการพัฒนาได้ไปอีก 4 ปีข้างหน้า และอยู่ระหว่างเจรจาอีกกว่า 10 แปลง ปัจจุบัน ใช้งบซื้อที่ดินไปแล้ว 6,500 ล้านบาท ส่วนปี 59 คาดว่าจะใช้งบซื้อที่ดินไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท”