- ที่ดินปรับตัวสูงต่อเนื่อง เฉลี่ยราคาปรับขึ้นต่อปี 9.8% สวนทางต้นทุนการเงินที่ลดลงแตะ 3.6% กดต้นทนการเงินต่ำ โอกาสของผู้ประกอบการกระแสเงินสด สภาพคล่องสูง ไล่ตุนที่ดินสะสมรอพัฒนาโครงการ ด้าน “ศุภาลัย” ปรับเพิ่มงบซื้อที่ดินสะสมเป็น 6,000 ล้านบาท จากเดิมงบซื้อที่ดิน 3,000 ล้านบาทต่อปี เดินหน้าตุนที่ดินรอพัฒนาที่อยู่อาศัย แจงใช้งบซื้อที่ดินทั้งแนวราบ และสูงแล้ว 4,000 ล้านบาท เผยเป้ายอดโอนปีนี้ 22,000 ล้านบาท ครึ่งปีแรกมียอดโอนแล้ว 10,200 ล้านบาท ครึ่งปีหลังทยอยโอนอีก 11,400 ล้านบาท แจง 8 เดือนมียอดขาย 12,000 ล้านบาท จากเป้า 23,000 ล้านบาท มั่นใจทั้งปีขายเข้าเป้า
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มการปรับตัวของราคาที่ดินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และต้นทุนทางการเงินในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ศุภาลัยฯ ปรับแผน และนโยยาบในการซื้อที่ดินสะสมรอพัฒนาโครงการใหม่ จากเดิมที่บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินสะสมต่อปีไว้ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 6,000 ล้านบาทต่อปี โดยในปี 58 นี้ บริษัทใช้งบในการซื้อที่ดินไปแล้ว 4,000 ล้านบาท และยังจะเดินหน้าซื้อที่ดินสะสมเข้ามาอย่างต่อเนื่องให้ได้ตามเป้า
สำหรับงบในการซื้อที่ดินสะสมจำนวน 6,000 ล้านบาทที่วางไว้ จะแบ่งออกเป็นงบในการซื้อที่ดินพัฒนาโครงการแนวราบ 60-70% ส่วนที่เหลืออีก 30-40% จะเป็นงบในการซื้อที่ดินสะสมเพื่อรอพัฒนาโครงการแนวราบ โดยที่ดินสะสมสำหรับโครงการแนวราบนั้นได้ซื้อเข้ามาอล้วหลายแปลงส่วนใหญ่เป็นที่ดินในต่างจังหวัด ส่วนที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการแนวสูงนั้นจะเน้นที่ดินใน กทม.
“แนวโน้มราคาที่ดินปรับตัวสูงมีให้เห็นมาพักใหญ่แล้ว สังเกตจากช่วงก่อนหน้าราคาที่ดินในบางทำเลรับตัวสูงกว่า 1 เท่าตัวในเวลาเพียงแค่ปีเดียว ส่วนในปี 58 นี้ในช่วงครึ่งปีราคาที่ดินก็ปรับตัวไปกว่า 50% แล้ว บางทำเลปรับตัวสูงมาก ต่างจากในช่วงปี 2554 การปรับตัวของราคาที่ไม่มาก ทำให้ต้นทุนที่ดินเป็นต้นทุนในการพัฒนาโครงการที่ไม่สูงเหมือนในปัจจุบัน”
โดยในอดีตนั้นราคาที่ดินปรับตัวปีละ 4-5% ขณะที่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 5-6% จึงไม่คุ้มที่จะกู้เงินมาซื้อที่ดินสะสมรอการพัฒนา ในขณะที่ปัจจุบันราคาที่ดินปรับตัวปีละ 9.8% แต่ดอกเบี้ย อยู่ที่ 3.6% เทียบต้นทุนการเงินกับอัตราการปรับตัวของราคาที่ดินแล้วถือว่ายังมีช่วงห่างกันอยู่ค่อนข้างมาก การซื้อที่ดินสะสมจึงคุ้มกว่าในอดีต
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเด็นการปรับตัวสูงของราคาที่ดินจะเป็นเรื่องที่ดีเวลลอปเปอร์ทุกรายจะทราบดีแต่ หลายๆ รายไม่สามารถทำเช่นเดียวกับศุภาลัยฯได้ เนื่องจากในการซื้อที่ดินสะสมจำเป็นต้องมีกระสเงินสด และสภาพคล่องทางการเงินที่ดี ซึ่งในส่วนของศุภาลัยฯ นั้นยังมีสภาพคล่องสูง กระแสเงินสดที่ดี
สำหรับปีนี้ริษัทมีเป้าโอนปประมาณ 22,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกมียอดโอนเข้ามาแล้ว 10,200 ล้านบาท ยังเหลือยอดรอโอนในครึ่งปีหลังอีก 11,400 ล้านบาทเศษ แบ่งเป็นยอดโอนจากบ้าน 2,000 ล้านบาทเศษ และคอนโดมิเนียม 8,000 ล้านบาทเศษ ทำให้ปีนี้กระแสเงินสดยังดี เพราะมีงบที่ต้องใช้ในงานก่อสร้าง 11,000 ล้านบาท และซื้อที่ดิน 6,000-7,000 ล้านบาท
“ในปีนี้ศุภาลัยฯ มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่รวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 33,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 19 โครงการ เปิดตัวไปแล้ว 13 โครงการ และโครงการแนวสูง 8โ ครงการเปิดตัวไปแล้ว 5 โครงการ เหลืออีก 3 โครงการมูลค่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดในปลายปีนี้ โดยในส่วนของที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้มีครบทั้งหมดแล้ว”
สำหรับยอดขายในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าประมาณอยู่เล็กน้อย โดยทั้งปีบริษัทวางเป้าว่าจะมียอดขายรวมที่ 23,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้ โดยในช่วง 4 เดือนที่เหลือนี้เชื่อว่าตลาดจะเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการแนวราบจะมีการขยายตัวที่ดีกว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมา
นายไตรเตชะ กล่าว่า ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการ ศุภาลัยไลท์รัชดา-นราธิวาส-สาทร โครงการอาคารชุดสูง 27 ชั้น จำนวน 566 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.5-11.8 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท บนเนื้อที่ 4 ไร่ ตั้งอยู่ในทำเลติดถนนใหญ่รัชดาภิเษก สามารถเชื่อมต่อการ์เดินทางสู่ถนนนราธิวาสนครินทร์ ถนนนางลิ้นจี่ ถนนสาธุประดิษฐ์ ถนนสาทร ใกล้รถโดยสารบีอา์ร์ที เข้าสู่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสะดวก ทั้งนี้ เชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี และคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 80% ของยูนิตรวมในช่วง 1 เดือนหลังเปิดขาย และสามารถปิดการขายได้ในปลายปีนี้