ซีอีโอ “เอเซียพลัส” มองเศรษฐกิจไทยปี 59 มีทิศทางดีขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ช่วยหนุนภาคส่งออก และการบริโภคในประเทศดีขึ้น ส่วนทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้นคงต้องพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรม มากกว่ามองภาพรวมของดัชนี เพราะน้ำหนักของดัชนีหุ้นไทยอิงกับหุ้นกลุ่มน้ำมัน และสื่อสาร ซึ่งเคลื่อนไหวผันผวนตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน และข่าวที่เข้ามากระทบ
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส หรือ APS กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2559 มีแนวโน้มดีขึ้น โดยมาจากการฟื้นตัวของภาคส่งออกซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก คือ อเมริกา ฟื้นตัวขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจของยุโรป และญี่ปุ่น จะค่อยดีขึ้นเช่นกัน โดยคาดว่าทั้ง 2 ประเทศจะมีการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE ต่อเนื่อง
ส่วนเศรษฐกิจจีน ยังคาดว่าขยายตัวร้อยละ 7 ซึ่งยังเป็นอัตราการเติบโตที่สูง ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่พร้อมส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในประเทศ และช่วยสร้างความมั่นใจกลับเข้ามา ซึ่งคาดหวังว่าการบริโภค การค้าปลีก และการจับจ่ายในประเทศจะฟื้นตัวขึ้นในปีหน้า
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นไปตามคาดหรือไม่ และความต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยที่เอกชนให้ความสำคัญ ทำให้ภาคเอกชนยังลดการลงทุน โดยเสนอให้รัฐบาลปรับปรุงกฎหมาย ระบบภาษี เพื่อสนับสนุนความสามารถการแข่งขันให้มากขึ้น และต้องสู้กับประเทศคู่แข่งได้
ด้านทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น นายก้องเกียรติ กล่าวว่า คงต้องพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรมมากกว่ามองภาพรวมของดัชนี เพราะน้ำหนักของดัชนีหุ้นไทยอิงกับหุ้นกลุ่มน้ำมัน และสื่อสาร ซึ่งเคลื่อนไหวผันผวนตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน และข่าวที่เข้ามากระทบ
ดังนั้น การลลงทุนในตลาดหุ้นไทยควรพิจารณาหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโต ขณะเดียวกัน เห็นว่าราคาหุ้นไทยที่ระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ หรือพีอี เรโช ประมาณ 17 เท่า ค่อนข้างแพง หากเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ ที่มีระดับพีอี เรโช ใกล้เคียงกัน หรือหุ้นยุโรป และญี่ปุ่น ที่มีระดับพีอี เรโช ต่ำกว่าหุ้นไทย ดังนั้น นักลงทุนต่างชาติจึงไม่สนใจเข้าลงทุนในหุ้นไทยเหมือนกับที่ผ่านมา