“วายแอลจี” แรงคาดหวังเฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือปีนี้ ผลักดันราคาทองคำทะยานขึ้น แต่ถูกกดดันจากการค่าเงินยูโรหลัง ECB ส่งสัญญาณอัดฉีด จับตาหากไม่หลุดโซน 1,156 เหรียญ/ออนซ์ มีโอกาสขยับตัวขึ้น และเมื่อผ่านในโซน 1,205 เหรียญ/ออนซ์ จะมีโอกาสเห็น 1,220 เหรียญ/ออนซ์
“วรุต รุ่งขำ” ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจีบูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวถึงทิศทางราคาทองคำในช่วงนี้ว่า ภาพรวมการเคลื่อนไหวขอราคาทองคำที่ผ่านมาถือว่ามีการแกว่งตัวค่อนข้างมาก และมีการขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า เพราะได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนมากขึ้น จากเกี่ยวกับแนวโน้มที่เฟดจะมีการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ และปัจจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ ที่มีการชะลอตัวลงตามทิศทางเศรษฐกิจในฝั่งจีน
โดยล่าสุด ในส่วนของทางการจีนมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทาง หรืออัตราแนวโน้มที่เกิดขึ้นในจีน และตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯ มีการปรับตัวครั้งใหญ่สุดในรอบ 8 เดือน และกดตัวให้สกุลเงินดอล์ลาร์มีการอ่อนตัวลงค่อนข้างมากจนต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวหนุนให้ราคาทองคำทะยานขึ้นนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าเริ่มมีการขายทำกำไรทองคำในช่วงปลายสัปดาห์สลับออกมา หลังจากอัตราเงินเฟ้อในฝั่งยูโรโซนยังชะลอตัวลง และเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เริ่มมีการส่งสัญญาณว่า อาจจะต้องมีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเพิ่มเติม
“การอัดฉีดของ ECB กดดันให้สกุลเงินยูโรเริ่มมีการอ่อนตัวลง และกดดันให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง ประกอบกับตัวเลขของผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานประจำสัปดาห์ยังคงมีทิศทางแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลให้ราคาทองคำเริ่มมีการพักฐาน และมีการย่อตัวลงมา”
ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้อาจจะต้องจับตาในส่วนของการประชุมของธนาคารกลางยุโรป หรืออีซีบี ที่จะมีการเกิดขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้ พร้อมกับการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป ซึ่งจะต้องจับตาว่าธนาคารกลางยุโรปจะมีการขยายโครงการในการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือเปล่า เพราะถ้าหากมีการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมสกุลเงินยูโรอาจมีทิศทางอ่อนค่าลงอีก และปัจจัยดังกล่าวอาจฉุดรั้งให้ราคาทองคำมีการปรับฐาน หรือปรับตัวลงต่อ
ไม่เพียงเท่านี้ นักลงทุนควรจับตาดูสถานการณ์ในซีเรีย หลังจากสถานการณ์มีการตึงเครียดมากขึ้น และโอกาสที่ทางสหรัฐฯ และรัสเซียซึ่งเป็นผู้เข้าไปสนับสนุนทั้ง 2 ฝ่าย มีโอกาสที่จะกระทบกระทั่งกันมากขึ้น หลังจากเครื่องบินรบของทั้ง 2 ประเทศมีการบินเฉียดกันในระยะห่างกันไม่กี่ไมล์ และโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุแบบไม่ได้ตั้งใจเป็นไปได้สูง ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุในลักษณะดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ และจะสร้างแรงซื้อเข้ามายังในตลาดทองคำในส่วนของฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง
นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ยังคงต้องจับตา เพราะในส่วนของที่ผ่านมายังคงเห็นค่อนข้างชัดว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานประจำสัปดาห์ยังคงสร้างแรงขายในตัวทองคำออกมา โดยในสัปดาห์นี้อาจจะต้องจับตาเช่นเดียวกัน เพราะนักลงทุนจะใช้ปัจจัยดังกล่าวคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้ม และทิศทางในฝั่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าแข็งแกร่งมากพอไหมที่จะทำให้ธนาคารกลาง หรือว่าเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้จะเห็นว่าราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขยับตัว หรือดีดตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก ก็จะมีแรงขายออกมาทำกำไรมากเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ในส่วนของโซนแนวต้านบริเวณ 1,200-1,205 เหรียญ/ออนซ์ ยังถือว่าเป็นแนวต้านสำคัญที่ยังคงต้องจับตา เพราะถ้าหากไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน หรือสร้างแรงซื้อมากพอที่จะดันให้ราคาทองคำผ่านโซนดังกล่าวขึ้นไปได้ ซึ่งราคาทองคำอาจมีการย่อตัวลงมาเพื่อสะสมกำลัง และสะสมแรงซื้ออีกครั้ง
ดังนั้น เมื่อเกิดการอ่อนตัวลงแนะนำให้จับตาดูในส่วนของโซนบริเวณ 1,156 เหรียญ/ออนซ์ หากไม่หลุดโซนดังกล่าว ราคาทองคำมีโอกาสขยับตัวขึ้น และผ่านในโซน 1,205 เหรียญ/ออนซ์ขึ้นไปได้ และมีโอกาสขึ้นต่อทดสอบแนวต้านสำคัญบริเวณถัดไป 1,220 เหรียญ/ออนซ์ แต่อย่างไรก็ตาม หากมีแรงขายเกิดขึ้นมาก และขาดปัจจัยหนุนพยุงราคาทองคำไว้จนอยู่ระดับ 1,156 เหรียญ/ออนซ์ นักลงทุนที่มีการถือครองทองคำไว้อาจจะต้องชะลอในการสะสมทองคำเพิ่ม และอาจจะต้องจับตาดูในส่วนของโซนแนวรับถัดไป 1,140 เหรียญ/ออนซ์ ว่าจะตั้งฐานได้หรือไม่
“ถ้าหากราคายังคงยืนเหนือระดับ 1,156-1,140 เหรียญ/ออนซ์ เราประเมินว่าการเคลื่อนไหวของราคาน่าจะเป็นในลักษณะการแกว่งตัวออกด้านข้างเพื่อสะสมกำไร หรือแรงซื้ออีกครั้ง”