บอร์ด “เอคิว เอสเตท” อนุมัติให้เข้าถือหุ้นพร้อมบริหารทรัพย์ของ “โกลเด้นท์ เทคโนโลยีฯ” และ “เค แอนด์ วี เอส อาร์ เอส การ์เด้นโฮม (ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทโกลเด้นฯ)” ระบุมีที่ดิน 4,300 ไร่ ติดถนนบางนา-ตราด อีกฟากติดมอร์เตอร์เวย์ ประเมินราคาที่ดินล่าสุดมีมูลค่าถึง 13,500 ล้านบาท ดังนั้น ไม่ต้องห่วงสามารถชำระหนี้แบงก์กรุงไทยได้ครบถ้วนแน่ แถมยังมีลุ้นได้รับกำไรได้อีก เหตุราคาประเมินที่ดินสูงกว่ามูลหนี้ที่ต้องชำระ ระบุหลังจากนี้จะนัดขอเจรจากับผู้บริหารแบงก์กรุงไทย เพื่อขอให้ชะลอบังคับคดี-ประนอมหนี้ เชื่อเป็นทางออกที่ดีที่สุดต่อทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหนี้-คู่ค้า-ผู้ถือหุ้น-พนักงาน และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) (AQ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 11/2558 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติเข้าทำสัญญาจัดการทรัพย์สินและแบ่งผลประโยชน์ระหว่างบริษัทฯ กับบริษัท โปรเกรส พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โกลเด้นฯ รวมไปถึงมีอำนาจใจการบริหารจัดการทรัพย์ที่มีของโกลเด้นฯ นั่นคือ ที่ดินประมาณ 4,323-1-55.90 ไร่ ตั้งอยู่ตามแนวถนนบางนา-ตราด (ทางหลวงหมายเลข 34) ถนนกรุงเทพ-ชลบุรีสายใหม่ (มอเตอร์เวย์) และวัดเกาะแก้ว (ที่ดิน)
จากการประเมินมูลค่าของที่ดินล่าสุด โดยบริษัท เอส.แอล.สแตนดาร์ด แอพไพรซัล จำกัด เมื่อเดือนตุลาคม 2558 พบว่า มีมูลค่าสูงถึง 13,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่คุ้มค่า หรือเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามที่ศาลฎีกาแผนกอาญานักการเมืองได้ตัดสินให้บริษัทฯ ร่วมกับพวก 27 คน ร่วมกันคืนเงิน 10,004.46 ล้านบาท แก่ผู้เสียหาย คือ ธนาคารกรุงไทย(KTB) โกลเด้นฯ ต้องรับผิดชอบ 8,368.73 ล้านบาท
บมจ.เอคิว เอสเตท ระบุว่า ที่ดินที่เป็นหลักประกันของโกลเด้นฯ และที่ดินหลักประกันมีราคาประเมินสูงกว่าภาระหนี้ของบริษัท ดังนั้น หากมีการจัดการที่ดีย่อมมีโอกาสที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ที่ดิน และสามารถขายที่ดินได้เงินมากเพียงพอที่จะชำระหนี้ของบริษัทฯ ได้ และอาจจะมีเหลือกำไรให้แก่บริษัท และโกลเด้นฯ ได้อีกด้วย ดั้งนั้น AQ ซึ่งมีความชำนาญในการจัดการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า และเป็นผู้ที่จะได้รับความเสียหายในการนี้โดยตรง เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และยังมีโอกาสได้กำไรจากการบริหารจัดการอีกด้วย ทางบริษัทจึงจำเป็นต้องสอดเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการในการขายทรัพย์หลักประกันนี้ โดยหากขายทรัพย์สินได้กำไรก็จะมีการแบ่งกำไร หรือผลประโยชน์กันกับโกลเด้นฯ โดยมีข้อตกลงว่าหากหลักประกันสามารถชำระหนี้ได้ตามคำพิพากษาได้ ทางโกลเด้นฯ จะไม่มาไล่เบี้ยกับบริษัท สำหรับหนี้ส่วนต่างระหว่างที่โกลเด้นฯ ต้องรับผิดชอบคือ 8,368.73 ล้านบาท กับหนี้ส่วนที่บริษัทต้องรับผิดชอบ คือ 10,004.46 ล้านบาท ทำให้บริษัทไม่มีความเสียหายที่เกิดจากคำพิพากษา และจะไม่กระทบต่อทรัพย์สินอื่นของบริษัทแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ภายหลังการเข้าจัดการกับทรัพย์ดังกล่าว และชำระหนี้คืนให้แก่ธนาคารกรุงไทยครบถ้วนแล้ว หากมีกำไรภายหลังจากที่ได้หักค่าใช้จ่ายต่างๆ ออกทั้งหมดแล้ว จะแบ่งกำไรออกเป็นสองส่วน โดยให้แก่ โกลเด้นฯ ร้อยละ 70 และส่วนที่เหลือร้อยละ 30 จะแบ่งให้แก่ บมจ.เอคิว เอสเตท
สำหรับขั้นตอนดำเนินการต่อจากนี้ทาง บมจ.เอคิว เอสเตท จะส่งตัวแทนเพื่อขอเข้าพบ และเจรจากับผู้บริหารของธนาคารกรุงไทย โดยจะขอให้ชะลอการบังคับคดีนี้ก่อน และจะขอเจรจาประนอมหนี้ โดยมั่นใจว่าแนวทางนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ คู่ค้า ผู้ถือหุ้น และพนักงานของบริษัท และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมกันนี้ บริษัทยืนยันเจตนาที่จะร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย ในการชำระหนี้ตามคำพิพากษาทุกประการ แต่อยากขอให้เลือกใช้แนวทางที่ทำให้ประโยชน์เกิดขึ้นต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
“มีหลายแนวทางในการชำระหนี้ที่จะนำไปเสนอให้แก่ธนาคารกรุงไทย ซึ่งหากผู้บริหารของธนาคารกรุงไทยเห็นชอบต่อแผนดังกล่าว มั่นใจว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย พร้อมกันนี้ บมจ.เอคิว เอสเตท เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า จะสามารถคืนหนี้ได้ครบถ้วน เพราะที่ดินย่านบางนา-ตราด ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพ และราคาสูงกว่ามูลหนี้ และปัจจุบันมีผู้ลงทุนหลายรายติดต่อเข้ามาเพื่อขอซื้อที่ดิน จึงเชื่อว่าจะสามารถบริหาร และจัดการทรัพย์ส่วนนี้ให้เกิดมูลค่าสูงที่สุดได้”
บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) (AQ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 11/2558 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติเข้าทำสัญญาจัดการทรัพย์สินและแบ่งผลประโยชน์ระหว่างบริษัทฯ กับบริษัท โปรเกรส พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โกลเด้นฯ รวมไปถึงมีอำนาจใจการบริหารจัดการทรัพย์ที่มีของโกลเด้นฯ นั่นคือ ที่ดินประมาณ 4,323-1-55.90 ไร่ ตั้งอยู่ตามแนวถนนบางนา-ตราด (ทางหลวงหมายเลข 34) ถนนกรุงเทพ-ชลบุรีสายใหม่ (มอเตอร์เวย์) และวัดเกาะแก้ว (ที่ดิน)
จากการประเมินมูลค่าของที่ดินล่าสุด โดยบริษัท เอส.แอล.สแตนดาร์ด แอพไพรซัล จำกัด เมื่อเดือนตุลาคม 2558 พบว่า มีมูลค่าสูงถึง 13,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่คุ้มค่า หรือเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามที่ศาลฎีกาแผนกอาญานักการเมืองได้ตัดสินให้บริษัทฯ ร่วมกับพวก 27 คน ร่วมกันคืนเงิน 10,004.46 ล้านบาท แก่ผู้เสียหาย คือ ธนาคารกรุงไทย(KTB) โกลเด้นฯ ต้องรับผิดชอบ 8,368.73 ล้านบาท
บมจ.เอคิว เอสเตท ระบุว่า ที่ดินที่เป็นหลักประกันของโกลเด้นฯ และที่ดินหลักประกันมีราคาประเมินสูงกว่าภาระหนี้ของบริษัท ดังนั้น หากมีการจัดการที่ดีย่อมมีโอกาสที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ที่ดิน และสามารถขายที่ดินได้เงินมากเพียงพอที่จะชำระหนี้ของบริษัทฯ ได้ และอาจจะมีเหลือกำไรให้แก่บริษัท และโกลเด้นฯ ได้อีกด้วย ดั้งนั้น AQ ซึ่งมีความชำนาญในการจัดการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า และเป็นผู้ที่จะได้รับความเสียหายในการนี้โดยตรง เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และยังมีโอกาสได้กำไรจากการบริหารจัดการอีกด้วย ทางบริษัทจึงจำเป็นต้องสอดเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการในการขายทรัพย์หลักประกันนี้ โดยหากขายทรัพย์สินได้กำไรก็จะมีการแบ่งกำไร หรือผลประโยชน์กันกับโกลเด้นฯ โดยมีข้อตกลงว่าหากหลักประกันสามารถชำระหนี้ได้ตามคำพิพากษาได้ ทางโกลเด้นฯ จะไม่มาไล่เบี้ยกับบริษัท สำหรับหนี้ส่วนต่างระหว่างที่โกลเด้นฯ ต้องรับผิดชอบคือ 8,368.73 ล้านบาท กับหนี้ส่วนที่บริษัทต้องรับผิดชอบ คือ 10,004.46 ล้านบาท ทำให้บริษัทไม่มีความเสียหายที่เกิดจากคำพิพากษา และจะไม่กระทบต่อทรัพย์สินอื่นของบริษัทแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ภายหลังการเข้าจัดการกับทรัพย์ดังกล่าว และชำระหนี้คืนให้แก่ธนาคารกรุงไทยครบถ้วนแล้ว หากมีกำไรภายหลังจากที่ได้หักค่าใช้จ่ายต่างๆ ออกทั้งหมดแล้ว จะแบ่งกำไรออกเป็นสองส่วน โดยให้แก่ โกลเด้นฯ ร้อยละ 70 และส่วนที่เหลือร้อยละ 30 จะแบ่งให้แก่ บมจ.เอคิว เอสเตท
สำหรับขั้นตอนดำเนินการต่อจากนี้ทาง บมจ.เอคิว เอสเตท จะส่งตัวแทนเพื่อขอเข้าพบ และเจรจากับผู้บริหารของธนาคารกรุงไทย โดยจะขอให้ชะลอการบังคับคดีนี้ก่อน และจะขอเจรจาประนอมหนี้ โดยมั่นใจว่าแนวทางนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ คู่ค้า ผู้ถือหุ้น และพนักงานของบริษัท และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมกันนี้ บริษัทยืนยันเจตนาที่จะร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย ในการชำระหนี้ตามคำพิพากษาทุกประการ แต่อยากขอให้เลือกใช้แนวทางที่ทำให้ประโยชน์เกิดขึ้นต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
“มีหลายแนวทางในการชำระหนี้ที่จะนำไปเสนอให้แก่ธนาคารกรุงไทย ซึ่งหากผู้บริหารของธนาคารกรุงไทยเห็นชอบต่อแผนดังกล่าว มั่นใจว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย พร้อมกันนี้ บมจ.เอคิว เอสเตท เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า จะสามารถคืนหนี้ได้ครบถ้วน เพราะที่ดินย่านบางนา-ตราด ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพ และราคาสูงกว่ามูลหนี้ และปัจจุบันมีผู้ลงทุนหลายรายติดต่อเข้ามาเพื่อขอซื้อที่ดิน จึงเชื่อว่าจะสามารถบริหาร และจัดการทรัพย์ส่วนนี้ให้เกิดมูลค่าสูงที่สุดได้”