คลังอนุมัติโบรกฯ SBITO ลูกครึ่งแดนปลาดิบน้องใหม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ประธานบอร์ดเผยตั้งใจเน้นเจาะตลาดลูกค้าออนไลน์ พุ่งเป้ามาร์เกตแชร์แตะ 5% ของตลาดรวมหลักทรัพย์ในไทยภายใน 5 ปี
นายวราห์ สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด หรือ SBITO กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เปิดดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ฯ ในประเทศไทย จากการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท SBI Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทฯ ด้านการเงินชั้นนำของญี่ปุ่น และหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) โดย SBI Group ถือหุ้น 55% และฟินันเซีย ไซรัส ถือหุ้น 45% โดยเน้นหนักการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนรุ่นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัท SBI JAPAN เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ และตราสารอนุพันธ์ผ่านระบบออนไลน์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีจำนวนบัญชีลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นประมาณกว่า 4 ล้านบัญชี และมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจโบรกฯ เป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม บล.เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ หรือ SBITO หลังจากได้จัดตั้ง และได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจจากกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว ขณะนี้มีทุนจดทะเบียนที่ 722 ล้านบาท โดยจะเริ่มเปิดให้บริการด้านหลักทรัพย์ และสัญญาณซื้อขายล่วงหน้า โดยได้เข้าเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์หมายเลข 33 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2558 ซึ่งบริษัทจะเปิดให้ลูกค้าได้ส่งคำสั่งซื้อขายตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. เป็นต้นไป
“บริษัทฯ เข้าใจถึงความต้องการของนักลงทุนรุ่นใหม่ จึงได้วางระบบให้การทำธุรกรรมทางด้านหลักทรัพย์ต่างๆ มีความสะดวก เช่น สามารถเปิดบัญชีที่สะดวกรวดเร็วผ่านเว็บไซต์ของบริษัทฯ www.sbito.co.th และยืนยันตัวตนพร้อมส่งเอกสารประกอบได้ที่ร้านสะดวกซื้อในเซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้พัฒนาระบบการย้ายหลักประกันระหว่างบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์แบบเรียลไทม์ เพียงแค่ส่งคำสั่งการย้ายหลักประกันที่ปลอดชำระ ไม่ว่าจะเป็นเงินสด หรือหุ้น วงเงินซื้อขายจะได้รับการปรับในทันที โดยไม่ต้องรอการดำเนินการจากเจ้าหน้าที่”
ขณะที่ในส่วนของระบบการส่งคำสั่ง ได้อำนวยความสะดวกลูกค้าในกรณีที่คำสั่งซื้อ หรือขายที่ยังไม่รับการจับคู่ (Unmatched order) ซึ่งโดยปกติ คำสั่งซื้อขายเหล่านั้นจะถูกยกเลิกโดยระบบในสิ้นวัน แต่ด้วยระบบ GTC/GTD ของ SBITO นักลงทุนเพียงแค่ระบุเงื่อนไขวันหมดอายุ หรือที่เรียกว่า Good Till Cancel (GTC) หรือประเภทระบุวันหมดอายุ หรือ Good Till Date (GTD) เท่านั้น คำสั่งที่ยังไม่ได้รับการจับคู่จะถูกส่งไปยังตลาดหลักทรัพย์ในวันรุ่งขึ้น โดยที่นักลงทุนไม่ต้องส่งคำสั่งใหม่
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่บริษัทจัดเก็บนั้นต่ำกว่าผู้ให้บริการรายอื่น เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยได้มีโอกาสในการตัดสินใจมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงโปรโมชันที่เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.58 ไปจนถึงวันที่ 15 ม.ค.59 จะคิดค่านายหน้าสูงสุดเพียง 0.015% สำหรับบัญชี Cash Balance และ 0.02% สำหรับบัญชี Cash Account โดยอัตราค่าธรรมเนียมจะลดลงตามมูลค่าซื้อขายต่อวัน
ทั้งนี้ ในส่วนของเป้าส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจโบรก บริษัทฯ ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดรวมไว้ที่ 2.5% ขณะที่ในส่วนของการซื้อขายออนไลน์คาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดไม่น้อยกว่า 5% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดในปัจจุบัน และคาดหวังในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 10% โดยจะเน้นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักลงทุนซื้อขายหุ้นปริมาณมาก และซื้อขายด้วยตัวเอง
นายวราห์ สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด หรือ SBITO กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เปิดดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ฯ ในประเทศไทย จากการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท SBI Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทฯ ด้านการเงินชั้นนำของญี่ปุ่น และหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) โดย SBI Group ถือหุ้น 55% และฟินันเซีย ไซรัส ถือหุ้น 45% โดยเน้นหนักการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนรุ่นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัท SBI JAPAN เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ และตราสารอนุพันธ์ผ่านระบบออนไลน์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีจำนวนบัญชีลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นประมาณกว่า 4 ล้านบัญชี และมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจโบรกฯ เป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม บล.เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ หรือ SBITO หลังจากได้จัดตั้ง และได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจจากกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว ขณะนี้มีทุนจดทะเบียนที่ 722 ล้านบาท โดยจะเริ่มเปิดให้บริการด้านหลักทรัพย์ และสัญญาณซื้อขายล่วงหน้า โดยได้เข้าเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์หมายเลข 33 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2558 ซึ่งบริษัทจะเปิดให้ลูกค้าได้ส่งคำสั่งซื้อขายตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. เป็นต้นไป
“บริษัทฯ เข้าใจถึงความต้องการของนักลงทุนรุ่นใหม่ จึงได้วางระบบให้การทำธุรกรรมทางด้านหลักทรัพย์ต่างๆ มีความสะดวก เช่น สามารถเปิดบัญชีที่สะดวกรวดเร็วผ่านเว็บไซต์ของบริษัทฯ www.sbito.co.th และยืนยันตัวตนพร้อมส่งเอกสารประกอบได้ที่ร้านสะดวกซื้อในเซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้พัฒนาระบบการย้ายหลักประกันระหว่างบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์แบบเรียลไทม์ เพียงแค่ส่งคำสั่งการย้ายหลักประกันที่ปลอดชำระ ไม่ว่าจะเป็นเงินสด หรือหุ้น วงเงินซื้อขายจะได้รับการปรับในทันที โดยไม่ต้องรอการดำเนินการจากเจ้าหน้าที่”
ขณะที่ในส่วนของระบบการส่งคำสั่ง ได้อำนวยความสะดวกลูกค้าในกรณีที่คำสั่งซื้อ หรือขายที่ยังไม่รับการจับคู่ (Unmatched order) ซึ่งโดยปกติ คำสั่งซื้อขายเหล่านั้นจะถูกยกเลิกโดยระบบในสิ้นวัน แต่ด้วยระบบ GTC/GTD ของ SBITO นักลงทุนเพียงแค่ระบุเงื่อนไขวันหมดอายุ หรือที่เรียกว่า Good Till Cancel (GTC) หรือประเภทระบุวันหมดอายุ หรือ Good Till Date (GTD) เท่านั้น คำสั่งที่ยังไม่ได้รับการจับคู่จะถูกส่งไปยังตลาดหลักทรัพย์ในวันรุ่งขึ้น โดยที่นักลงทุนไม่ต้องส่งคำสั่งใหม่
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่บริษัทจัดเก็บนั้นต่ำกว่าผู้ให้บริการรายอื่น เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยได้มีโอกาสในการตัดสินใจมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงโปรโมชันที่เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.58 ไปจนถึงวันที่ 15 ม.ค.59 จะคิดค่านายหน้าสูงสุดเพียง 0.015% สำหรับบัญชี Cash Balance และ 0.02% สำหรับบัญชี Cash Account โดยอัตราค่าธรรมเนียมจะลดลงตามมูลค่าซื้อขายต่อวัน
ทั้งนี้ ในส่วนของเป้าส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจโบรก บริษัทฯ ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดรวมไว้ที่ 2.5% ขณะที่ในส่วนของการซื้อขายออนไลน์คาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดไม่น้อยกว่า 5% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดในปัจจุบัน และคาดหวังในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 10% โดยจะเน้นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักลงทุนซื้อขายหุ้นปริมาณมาก และซื้อขายด้วยตัวเอง