“เอื้อวิทยา” เทกโอเวอร์ฟ้าแลบ ซื้อโรงไฟฟ้าชีวมวลโคราช 9.9 เมกะวัตต์ มูลค่า 525 ล้านบาท มีสัญญาซื้อไฟจาก กฟภ.แล้ว การันตีรับรู้รายได้ทันทีปีละ 220 ล้านบาท มั่นใจเดินหน้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนครบ 50 เมกะวัตต์ภายในปี 2558
นายพีรทัศน์ ธนรัชต์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) หรือ UWC เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลอีก 1 โรง ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ในจังหวัดนครราชสีมา มูลค่าโครงการ 525 ล้านบาท โดย UWC เข้าถือหุ้น 100% ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าดังกล่าวมีสัญญาซื้อไฟฟ้า หรือ PPA กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. โดยมีอัตราขายไฟแบบมีส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า (Adder) ที่ 0.30 บาท/หน่วย ที่สำคัญโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งนี้เป็นโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้ว และสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้ทันทีจากการขายไฟฟ้าประมาณ 220 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้เป็นต้นไป รวมถึงโครงการนี้ยังได้รับสิทธิประโยชน์จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ถึงปี 2562 และชำระภาษีเงินได้ในอัตรา 50% หลังจากนั้นอีก 5 ปี
บริษัทฯ ได้มีการศึกษาข้อมูลโรงไฟฟ้าดังกล่าวอย่างรอบด้านก่อนเข้าซื้อกิจการ และจะใช้ความชำนาญด้านวิศวกรรมพลังงานไปปรับปรุงโรงไฟฟ้า เพื่อให้สอดรับกับการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลแบบผสมผสานที่บริษัทฯ ออกแบบแทนการใช้แกลบ 100% โดยจะทำให้อัตราผลตอบแทนการลงทุนเพิ่มขึ้นจาก 17% เป็น 22% ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าดังกล่าวเป็นโรงไฟฟ้าโรงที่ 3 ที่บริษัทฯ เข้าไปลงทุน ต่อจากโรงไฟฟ้าในจังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดขอนแก่น และบริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถจะลงทุนโรงไฟฟ้าได้ครบ 50 เมกะวัตต์ในปีนี้
สำหรับการบริหารจัดการเชื้อเพลิงชีวมวลที่จะใช้เป็นวัตถุดิบในโรงไฟฟ้าดังกล่าว บริษัทฯ ได้เตรียมการปลูก และจัดหาพืชพลังงานบนพื้นที่กว่า 8,000 ไร่ในจังหวัดนครราชสีมา โดยจะสนับสนุนให้มีการปลูกพืชพลังงานทั้งต้นเนเปียร์ และไม้โตเร็ว ซึ่งจะสามารถสร้างความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ และที่สำคัญยังเป็นการสนับสนุนให้เกษตรกรในพื้นที่สร้างรายได้จากการปลูกพืชพลังงานอีกด้วย
“เรามีความมั่นใจในการลงทุนครั้งนี้ และบริษัทฯ จะเข้าบริหารจัดการ และผลิตไฟฟ้าเพื่อขายไฟให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ทันที ซึ่งจะเร็วกว่าการพัฒนา และก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้ระยะเวลากว่า 2 ปี โครงการดังกล่าว บริษัทฯ ได้เข้าไปปรับปรุงกระบวนการผลิตไฟฟ้าให้สามารถใช้เชื้อเพลิงด้านชีวมวลได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากการใช้เชื้อเพลิงจากแกลบเพียงอย่างเดียว และสามารถสร้างอัตราตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้นได้ โดยคาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) กว่า 22%” นายพีรทัศน์ กล่าว