นายมารุต อรรถไกวัลวที กรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการกลุ่มธุรกิจมีเดียในประเทศ 2-3 รายเพื่อรองรับการขยายงาน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ขณะที่ได้ชะลอแผนการขยายธุรกิจในอาเซียนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากจะเน้นขยายงานในประเทศก่อน ที่ยังมีอีกหลายช่องทางที่น่าสนใจ เช่น การพัฒาสื่อโฆษณาบนออนไลน์ เป็นต้น
โดยภาพรวมของสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย (Out of Home Media) ในปัจจุบันเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น จากพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป มีการใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ซึ่งอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาในภาพรวมมีมูลค่าทางการตลาดรวมอยู่ราว 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ VGI ก็มีการพัฒนาสื่อโฆษณาอย่างต่อเนื่อง จากป้ายโฆษณา ป้ายภาพนิ่ง ป้ายไฟ ที่อยู่บนสถานีรถไฟฟ้า เป็นจอ LCD และเป็นจอ LED ที่มีขนาดใหญ่ มองเห็นได้ง่ายขึ้น เพื่อสร้างความต้องการ และกระตุ้นการขาย
พร้อมกันนี้ บริษัท มองว่า ธุรกิจที่มีการใช้สื่อโฆษณามากที่สุด คือ กลุ่มคอนซูเมอร์โปรดักต์ ที่มีการลงทุนมหาศาล ซึ่งจะใช้สื่อโฆษณาบนโทรทัศน์เป็นหลัก เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายทั่วประเทศ
ขณะที่สื่อโฆษณานอกบ้านจะจัดอยู่ในประเภทสื่อรองลงมา โดยสัดส่วนการโฆษณาของคอนซูเมอร์โปรดักต์บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส จะอยู่ประมาณ 47% และที่เหลือจะเป็นการโฆษณา เช่น โทรศัพท์มือถือ ประกันชีวิต รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ
สำหรับผลประกอบการในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายกำไรสุทธิงวดปีบัญชี 58/59 (1 เม.ย.58- 31 มี.ค.59) จะมากกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 837.58 ล้านบาท เป็นไปตามรายได้สื่อโฆษณาบนพื้นที่รถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งมีการขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีอัตรากำไรสูงสุดในกลุ่มสื่อโฆษณาทั้งหมดของบริษัท และมีสัดส่วนรายได้ถึง 65%
รวมถึงบริษัทได้ยกเลิกสัญญาการรับสิทธิในการบริหาร และจัดการพื้นที่โฆษณาในโมเดิร์นเทรด เนื่องจากการบริหารจัดการพื้นที่โฆษณาในโมเดิร์นเทรดมีอัตราการทำกำไรต่ำ แต่การยกเลิกสิทธิดังกล่าวจะทำให้รายได้ของบริษัทในปีนี้น่าจะทำได้ราว 2.2 พันล้านบาท ต่ำกว่าระดับ 3,077.93 ล้านบาทในปีก่อน
ส่วนการพัฒนาสื่อโฆษณาบนออนไลน์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในงวดปีบัญชี 59/60 ซึ่งบริษัท มองว่า ในอนาคตระบบการใช้ตั๋วร่วมจะมีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น โดยเป้าหมายภายในสิ้นปี 59 ตามแผนงานจะมีการใช้ระบบตั๋วร่วมครอบคลุมทั้ง รถไฟฟ้าบีทีเอส, รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที, รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์, มอเตอร์เวย์, ทางด่วน, รถโดยสารขององค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะทำให้กลุ่มเป้าหมายของการใช้บัตรแรบบิต (rabbit) ชัดเจนขึ้น ทำให้การโฆษณาบนสื่อออนไลน์ที่จะเข้าไปยังกลุ่มลูกค้าต่างๆ จะสามารถเติบโตได้ และเชื่อว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีนัยสำคัญให้กับบริษัท
ขณะเดียวกัน VGI ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อช่วงบ่ายว่า บริษัทได้ขายหุ้นของบริษัท ไมดาส โกลบอล มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วม และประกอบธุรกิจด้านการขาย การตลาด และการจัดหาพื้นที่สื่อโฆษณา จำนวน 1,937,500 หุ้น และสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุนในไมดาสฯ ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในไมดาสฯ ลดลงเป็น 18.53% จากเดิม 30%
ขณะที่ได้ชะลอแผนการขยายธุรกิจในอาเซียนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากจะเน้นขยายงานในประเทศก่อน ที่ยังมีอีกหลายช่องทางที่น่าสนใจ เช่น การพัฒาสื่อโฆษณาบนออนไลน์ เป็นต้น
โดยภาพรวมของสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย (Out of Home Media) ในปัจจุบันเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น จากพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป มีการใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ซึ่งอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาในภาพรวมมีมูลค่าทางการตลาดรวมอยู่ราว 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ VGI ก็มีการพัฒนาสื่อโฆษณาอย่างต่อเนื่อง จากป้ายโฆษณา ป้ายภาพนิ่ง ป้ายไฟ ที่อยู่บนสถานีรถไฟฟ้า เป็นจอ LCD และเป็นจอ LED ที่มีขนาดใหญ่ มองเห็นได้ง่ายขึ้น เพื่อสร้างความต้องการ และกระตุ้นการขาย
พร้อมกันนี้ บริษัท มองว่า ธุรกิจที่มีการใช้สื่อโฆษณามากที่สุด คือ กลุ่มคอนซูเมอร์โปรดักต์ ที่มีการลงทุนมหาศาล ซึ่งจะใช้สื่อโฆษณาบนโทรทัศน์เป็นหลัก เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายทั่วประเทศ
ขณะที่สื่อโฆษณานอกบ้านจะจัดอยู่ในประเภทสื่อรองลงมา โดยสัดส่วนการโฆษณาของคอนซูเมอร์โปรดักต์บนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส จะอยู่ประมาณ 47% และที่เหลือจะเป็นการโฆษณา เช่น โทรศัพท์มือถือ ประกันชีวิต รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ
สำหรับผลประกอบการในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายกำไรสุทธิงวดปีบัญชี 58/59 (1 เม.ย.58- 31 มี.ค.59) จะมากกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 837.58 ล้านบาท เป็นไปตามรายได้สื่อโฆษณาบนพื้นที่รถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งมีการขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีอัตรากำไรสูงสุดในกลุ่มสื่อโฆษณาทั้งหมดของบริษัท และมีสัดส่วนรายได้ถึง 65%
รวมถึงบริษัทได้ยกเลิกสัญญาการรับสิทธิในการบริหาร และจัดการพื้นที่โฆษณาในโมเดิร์นเทรด เนื่องจากการบริหารจัดการพื้นที่โฆษณาในโมเดิร์นเทรดมีอัตราการทำกำไรต่ำ แต่การยกเลิกสิทธิดังกล่าวจะทำให้รายได้ของบริษัทในปีนี้น่าจะทำได้ราว 2.2 พันล้านบาท ต่ำกว่าระดับ 3,077.93 ล้านบาทในปีก่อน
ส่วนการพัฒนาสื่อโฆษณาบนออนไลน์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในงวดปีบัญชี 59/60 ซึ่งบริษัท มองว่า ในอนาคตระบบการใช้ตั๋วร่วมจะมีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น โดยเป้าหมายภายในสิ้นปี 59 ตามแผนงานจะมีการใช้ระบบตั๋วร่วมครอบคลุมทั้ง รถไฟฟ้าบีทีเอส, รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที, รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์, มอเตอร์เวย์, ทางด่วน, รถโดยสารขององค์กรขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะทำให้กลุ่มเป้าหมายของการใช้บัตรแรบบิต (rabbit) ชัดเจนขึ้น ทำให้การโฆษณาบนสื่อออนไลน์ที่จะเข้าไปยังกลุ่มลูกค้าต่างๆ จะสามารถเติบโตได้ และเชื่อว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีนัยสำคัญให้กับบริษัท
ขณะเดียวกัน VGI ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อช่วงบ่ายว่า บริษัทได้ขายหุ้นของบริษัท ไมดาส โกลบอล มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วม และประกอบธุรกิจด้านการขาย การตลาด และการจัดหาพื้นที่สื่อโฆษณา จำนวน 1,937,500 หุ้น และสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุนในไมดาสฯ ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในไมดาสฯ ลดลงเป็น 18.53% จากเดิม 30%