ASTV ผู้จัดการรายวัน - “อัศวิน” มั่นใจกำไรปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วกว่า 1600 ล้านบาท เผยเป้ารายได้น่าพอใจยังโตไม่น้อยกว่า 10% แย้มเตรียมเจรจาเข้าซื้อกิจการร่วมทุน และเข้าซื้อกิจการกลุ่มคอนซูเมอร์-แพกเกจจิ้งกว่า 10 ราย ช่วยดันให้ธุรกิจก้าวกระโดด เตรียมปรับสัดส่วนรายได้เป็น 50:50 ภายในปี 2562
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือ BJC กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไว้ที่ 10% เทียบรายได้จากปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 44,200 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนของรายได้ที่เพิ่มขึ้นยังคงมาจากยอดขายสินค้าที่มีอยู่เดิม และการที่บริษัทได้ผลิตสินค้าใหม่ออกสู่ท้องตลาด ทำให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ในส่วนของสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์ยังคงมีอัตราการเติบโตในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงนามคำสั่งซื้อในการรับเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ให้กับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ มีรายได้ในอนาคตที่แน่นนอนมากขึ้น
ขณะที่ในส่วนของกำไรสุทธิในปีนี้ คาดว่าจะดีขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งทำได้ 1,670 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ในการบริหารต้นทุนใหม่ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และลดต้นทุนในวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตปรับตัวลดลง อีกทั้งในส่วนของราคาพลังงานที่ปรับลดลงตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ยังเป็นปัจจัยเสริมให้บริษัทมีกำไรดีขึ้น ซึ่งทำให้โรงงานผลิตแก้ว และมันสำปะหลัง สามารถลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ
“ผลประกอบการในไตรมาส 3 เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว น่าจะดีขึ้น เพราะคาดว่าประชาชนจะมีกำลังซื้อดีขึ้นมาก ทั้งสินค้าในกลุ่มอุปโภค และบริโภคที่มีการปรับตัวขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจ แม้ว่าทิศทางค่าเงินบาทจะยังคงอ่อนค่าอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนในบางอย่างจากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ แต่บริษัทก็ได้มีการประกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ส่วนหนึ่งแล้ว โดยอนาคตอาจเปลี่ยนจากการเงินสกุลดอลลาร์เป็นเงินสกุลยูโร เพื่อให้มีเสถียรภาพ และผลตอบแทนต่อลูกค้ามากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ กำลังอยู่ในช่วงของการเจรจาเข้าซื้อธุรกิจประเภทคอนซูเมอร์และแพกเกจจิ้งทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งมีอยู่จำนวนประมาณ 10 กว่าราย และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ ซึ่งการเข้าซื้อกิจการเป็นกลยุทธ์หนึ่งของบริษัทที่จะทำให้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ถึงแม้ว่าบริษัทฯ จะยกเลิกการเข้าซื้อเมโทรในประเทศเวียดนาม โดยให้บริษัทแม่รับช่วงการเข้าซื้อกิจการต่อ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนต่อ โดยจากนี้บริษัทจะเร่งเดินหน้าขยายธุรกิจค้าปลีกในประเทศเวียดนาม โดยตั้งเป้าจะขยายสาขาร้าน B's Mart จากปัจจุบันที่มีอยู่ 96 สาขา ให้เพิ่มจำนวนขึ้นตามความต้องการของตลาด ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ตั้งเป้าสัดส่วนการขายทั้งในประเทศ และต่างประเทศเป็น 50:50 ภายในปี 2562 จากปัจจุบันที่มีรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 20% โดยเตรียมที่จะขยายการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศ AEC โดยเน้นประเทศเพื่อนบ้านก่อนเช่น เวียดนาม ลาว และกัมพูชา โดยจะเข้าไปลงทุนในลักษณะการเปิดสาขา และเข้าซื้อกิจการใหม่ หรือร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ โดยบริษัทฯ จะใช้ประเทศเวียดนาม และไทยเป็นฐานการผลิต เพื่อกระจายสินค้าไปยังประเทศลาว และกัมพูชา
นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าช่วงไตรมาส 2 ปีหน้าบริษัทฯ เตรียมขยายกำลังการผลิตกระป๋องในประเทศเพิ่มอีก 960 ล้านกระป๋องต่อปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 2,000 ล้านกระป๋องต่อปี โดยเตรียมจะใช้งบลงทุนในการขยายกำลังการผลิตอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของงบลงทุนประจำปีอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท (ไม่รวมซื้อกิจการ) โดยจะใช้ขยายกำลังการผลิตฝากระป๋องในประเทศไทย เพิ่มอีก 1,000 ฝา/ปี จากเดิม 2,000 ล้านฝา/ปี และจะมีการขยายกำลังการผลิตกระป๋อง และโรงแก้ว ที่ประเทศเวียดนามอีกประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งเงินที่เหลือจะใช้เพื่อการปรับปรุงสายงานการผลิตให้มีประสิทธิภาพ