xs
xsm
sm
md
lg

แนะสะสมหุ้นกระตุ้น ศก. รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

จับตาราคาน้ำมันตลาดโลกกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน ดัชนีแกว่งกรอบแคบรอผลประชุม FOMC นักวิเคราะห์แนะซื้อลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์โครงการขนาดใหญ่ รวมถึงนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมของ BOI

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 15 กันยายน 2558 ปิดที่ 1,370.65 ลดลง 6.50 จุด เปลี่ยนแปลง -0.47% มูลค่าการซื้อขาย 36,324.64 ล้านบาท โดยแตะจุดสูงสุดของวันที่ 1,381.09 จุด และต่ำสุดที่ 1,368.31 จุด ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกร สรุปภาพดัชนีวานนี้ (14 ก.ย.) เคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยหุ้นในกลุ่ม ICT ปรับตัวขึ้นนำตลาด ประกอบกับหุ้นกลุ่มพลังงานเริ่มทรงตัวตามราคาน้ำมันโลกที่เริ่มฟื้นขึ้น ทำให้บรรยากาศโดยรวมเริ่มปรับดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดทุนขาดปัจจัยใหม่ที่จะผลักดันดัชนีให้ดีดตัวขึ้นแรง ขณะเดียวกัน นักลงทุนน่าจะยังคงชะลอการลงทุนเพื่อรอดูผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FOMC วันที่ 16-17 ก.ย. ทำให้คาดว่า วันนี้ดัชนีน่าจะยังคงแกว่งเคลื่อนไหวในกรอบ 1,370-1,385 จุด พร้อมแนะนำให้จับตาราคาน้ำมันโลก หากฟื้นตัวแรงจะสนับสนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานให้เร่งตัวขึ้น

นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ยังไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ ในวันที่ 16-17 ก.ย. เพราะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับทั่วโลกยังมีความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกัน ก็คาดหวังว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ จะยังคงดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน หรือนโยบาย QE วงเงิน 80 ล้านล้านเยนต่อปีต่อไป

“นักลงทุนทั่วโลกน่าจะเริ่มผ่อนคลายความกังวลว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยระดับหนึ่ง เห็นได้จากช่วง 2-3 วันทำการที่ผ่านมา แรงขายจากต่างชาติในตลาดหุ้นภูมิภาคเริ่มมีแนวโน้มลดน้อยลง และกลับมีแรงซื้อในบางประเทศกลับเข้ามาบ้าง โดยวานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อยราว 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะยังไม่เข้ามาในประเทศไทยก็ตาม” นางภรณี กล่าว

ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 16 ก.ย. นี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าน่าจะยืนดอกเบี้ยฯ ที่เดิมคือ 1.5% เพราะเชื่อว่าการที่ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นผ่านการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบราว 2 แสนล้านบาท น่าจะกระตุ้นกำลังซื้อได้ดีกว่าการลดดอกเบี้ยฯ และน่าจะเห็นผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในงวด 4Q58

“หลังจากรัฐบาลเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น พร้อมมาตรการช่วยเหลือ SMEs ล่าสุด ออกมาตรการเพิ่มเติมโดยเน้นไปที่การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน 2 ส่วนหลัก คือ เร่งการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล ทำให้การลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์มีความชัดเจนมากขึ้น ควบคู่กับคณะกรรมการ BOI อนุมัติเพิ่มระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเดิม 8 ปี เป็น 13 ปี ให้แก่อุตสาหกรรมเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังเพิ่มการลดหย่อนภาษีจากเดิม 50% เป็น 90% ในเวลา 5 ปี หลังจากครบกำหนดการได้รับยกเว้นภาษีในช่วง 13 ปีแรก ทำให้เรามองว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายได้รับสิทธิประโยชน์ใหม่นี้ คือ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง” นางภรณี กล่าว

ด้าน นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุภาวะเศรษฐกิจที่มีปัญหาชะลอตัวลงของจีนเป็นแรงหนุนพยุงตลาดทองคำไว้ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ทองคำเคลื่อนไหวในกรอบแคบโดยปริมาณการซื้อขายยังคงเบาบาง ขณะที่นักลงทุนจำนวนมากรอผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ในวันพฤหัสบดีนี้ ทั้งนี้ วายแอลจี คาดว่าราคาทองคำพยายามขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,117-1,122 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่หากราคายังไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวไปได้ ก็จะเห็นการย่อตัวของราคากลับลงมาบริเวณแนวรับ 1,100-1,090 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนะนำนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรโดยแบ่งเงินเป็นก้อน ไม่ลงในครั้งเดียว


กำลังโหลดความคิดเห็น