“กรุ๊ปลีส” เดินหน้าตั้งบริษัทฯ ใหม่รุกตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ มีประชากรมากกว่า 250 ล้านคน โดยอาศัยเครือข่ายธนาคารท้องถิ่นในอินโดนีเซียเป็นพันธมิตร เจาะตลาดเช่าซื้อครบวงจร หนุนบริษัทฯ ขึ้นแท่นสู่ผู้นำธุรกิจเช่าซื้อในอาเซียน
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL เปิดเผยว่า GL ได้เริ่มขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทฯ ใหม่เพื่อทำธุรกิจเช่าซื้อในอินโดนีเซีย โดยเป็นบริษัทฯ ร่วมทุนระหว่าง GLH (บริษัทฯโฮลดิ้งของ GL ในสิงคโปร์) เข้าถือหุ้น 65% กลุ่ม J Trust Asia ของญี่ปุ่นถือหุ้น 20% และกลุ่มทุนท้องถิ่นอินโดนีเซียถือหุ้นอีก 15% โดยบริษัทฯ ใหม่นี้จะอาศัยเครือข่ายสาขาของธนาคารท้องถิ่นในอินโดนีเซีย จำนวน 62 แห่ง ซึ่งกลุ่ม J Trust เป็นเจ้าของ เปิดจุดให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้า และแผงโซลาร์เซล ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ร่วมทุนใหม่นี้ยังพร้อมควบรวมกิจการกับไฟแนนซ์ท้องถิ่นทันทีที่ผลการเจรจา ซึ่งดำเนินการมาต่อเนื่องระยะหนึ่งแล้วบรรลุผลสำเร็จ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเช้าวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ว่าบริษัทฯ ร่วมทุนแห่งใหม่นี้ ชื่อ PT JTrust Finance Indonesia โดยมีทุนจดทะเบียนประมาณ 7 ล้านเหรียญสหรัฐ (245 ล้านบาท) โดย นายมิทซึจิ คาดว่าการจดทะเบียนบริษัทใหม่นี้จะสำเร็จได้ภายใน 2-3 เดือน และสามารถเริ่มดำเนินธุรกิจได้ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับ GL เดินหน้ารุกตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาคอาเซียน หลังประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งในการรุกขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศกัมพูชาในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา และเริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศ สปป.ลาวเมื่อเร็วๆ นี้ โดยนายมิทซึจิ แสดงความมั่นใจว่า การขยายธุรกิจเช่าซื้อเข้าสู่ประเทศอินโดนีเซียในครั้งนี้จะเป็นก้าวย่างที่สำคัญต่อการนำพาบริษัทฯ บรรลุสู่วิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำธุรกิจเช่าซื้อในภูมิภาคอาเซียนภายใน 5 ปี
โดย GL รายงานตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2/58 ที่ผ่านมา โดยโชว์กำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ที่ 129.47 ล้านบาท เติบโตมากถึง 1,765% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว นอกจากการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลงตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของไทยแล้ว ตัวเลขกำไรสุทธิที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในไตรมาส 2/58 เป็นผลมาจากผลประกอบการที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดในประเทศกัมพูชา โดยกำไรสุทธิทั้งหมดในไตรมาส 2 ของปีนี้ แบ่งเป็น 70 ล้านบาท มาจากผลประกอบการในประเทศไทย และที่เหลือ 59 ล้านบาทเป็นธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งสัดส่วนกำไรส่วนใหญ่มาจากการผลประกอบการในประเทศกัมพูชา
นายมิทซึจิ คาดการณ์ว่าพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อในกัมพูชา ซึ่งประกอบด้วย รถจักรยานยนต์ ‘ฮอนด้า’ และเครื่องจักรการเกษตรยี่ห้อ ‘คูโบต้า’ จะเติบโตประมาณเท่าตัว จาก 45 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,600 ล้านบาท) ณ สิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ไปเป็นประมาณ 80-100 ล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปีนี้ และเนื่องจากศักยภาพของตลาดยังมีอยู่สูงมาก จึงได้ประเมินต่อไปว่า พอร์ตสินเชื่อโดยรวมในกัมพูชาจะขยายตัวอีก 2.5 เท่า เป็น 250 ล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปี 2559 ซึ่งเป็นการเติบโตขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อในประเทศไทยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 5,000 ล้านบาทในปัจจุบัน ไปเป็น 5,500 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน
“ศักยภาพในการขยายตัวของกัมพูชามีเยอะมาก และการเติบโตนี้ส่วนใหญ่หรือ 80% ของลูกค้าของ GL มาจากพื้นที่ในชนบท ซึ่งมีการพัฒนา และเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของถนนหนทางใหม่ๆ การก่อสร้างที่อยู่อาศัย โดยความเจริญเหล่านี้ได้สร้างผู้บริโภคกลุ่มใหม่ขึ้นมาที่มีอำนาจการซื้อซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อนในอดีต” นายมิซึจิ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ในชนบทเหล่านี้ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ ซึ่งคู่แข่งของ GL ไปไม่ถึง เนื่องจากคู่แข่งส่วนใหญ่มักเน้นทำธุรกิจในเขตเมืองใหญ่ เป็นผลให้ GL Finance บริษัทฯ ลูกของ GL ในกัมพูชาสามารถยกระดับขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดธุรกิจเช่าซื้อโดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 95% ขณะเดียวกันตลาดชนบทเหล่านี้ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้นจากความปั่นป่วนของตลาดการเงินทั่วโลกในขณะนี้อีกด้วย
ทั้งนี้ GL ได้พัฒนาระบบ E-Finance หรือระบบประเมินเครดิตของลูกค้าที่มีความฉับไว และมีประสิทธิภาพสูงมากในการขยายธุรกิจในกัมพูชา โดยได้เริ่มใช้ระบบนี้ใน สปป.ลาว ซึ่ง GL เริ่มเปิดกิจการเมื่อเร็วๆ นี้ และจะใช้ระบบเดียวกันสำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียหลังการจดทะเบียนเสร็จสิ้นแ ละบริษัทได้ใบอนุญาตดำเนินธุรกิจ
นายมิทซึจิ กล่าวแสดงความมั่นใจว่า การรุกเข้าไปสู่ตลาดอินโดนีเซียเปรียบเสมือนการเปิดศักราชใหม่ ซึ่งจะนำพาบริษัทฯ ไปสู่การทำสถิติสูงสุดใหม่ไม่ว่าจะเป็นยอดรายได้รวม หรือผลกำไรในอนาคต
“ตลาดอินโดนีเซียก็คล้ายกับตลาดในกัมพูชา โดยเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ประชากรส่วนใหญ่ยังยากจนและไม่มีอำนาจการซื้อที่เพียงพอ แต่สืบเนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ประชากรส่วนใหญ่มีฐานะดีขึ้น มีรายได้ และอำนาจการซื้อมากขึ้นจึงพร้อมมาเป็นลูกค้าของเราได้ในปัจจุบัน แต่เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียมีประชากรจำนวนมากกว่า 250 ล้านคน ตลาดจึงมีขนาดใหญ่กว่ากัมพูชาถึง 10 เท่า” นายมิทซึจิ กล่าว
นายมิทซึจิ กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงเป็นฐานธุรกิจของ GL ต่อไปแต่ผลประกอบการจากธุรกิจในภูมิภาคจะครองส่วนแบ่งรายได้รวม และกำไรเพิ่มมากขึ้นต่อจากนี้ไป เช่น กำไรจากกัมพูชาจะเทียบเท่ากับกำไรจากประเทศไทยในไตรมาส 3 และจะแซงหน้าได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้