สยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล เผยได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น โครงการการพัฒนากลไกเครดิตร่วม หรือ Joint Crediting Mechanism : JCM สำหรับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก เชื่อความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นโครงการนำร่องไปสู่การลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนอื่นๆ ของบริษัททั้งในประเทศ และต่างประเทศในอนาคต
นายสุรพล คุณานันทกุล รองผู้อำนวยการ บริษัท สยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ “SIAM” เปิดเผยว่า SIAM นับเป็นบริษัทของไทยรายแรกที่ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปของ JCM ซึ่งนอกจากบริษัทจะได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนแล้ว ก็ยังได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านพลังงานทางเลือกที่ดีที่สุดจากญี่ปุ่นด้วย ขณะที่บริษัทมีประสบการณ์ร่วมทำธุรกิจกับพันธมิตรญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน จึงมีความพร้อมที่จะดำเนินโครงการ
โดยโซลาร์รูฟท็อปโครงการแรกจะติดตั้งในโรงงานที่ จ.สมุทรปราการ ราวไตรมาส 4 ปีนี้ มีขนาดกำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในโรงงาน คาดเริ่มจ่ายไฟภายในเดือน มี.ค.2559 ซึ่งจะทำให้สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 6.5 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นจะสนับสนุนเงินทุนสูงสุดถึง 50% ของมูลค่าลงทุน ซึ่งภายใต้โครงการนี้บริษัทจะส่งมอบคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้กลไกนี้เป็นเวลา 10 ปี
นายสุรพล กล่าวว่า ขอขอบคุณ JCM ที่คัดเลือกให้ SIAM เข้าร่วมโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ดำเนินการมานานหลายปีแล้ว และให้การสนับสนุนโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อม (Ministry of the Environment Japan) ภายใต้รัฐบาลญี่ปุ่น โดย JCM ยังมีโครงการที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศอื่นๆ นอกญี่ปุ่น เช่น ประเทศกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้วย ขณะที่ SIAM กำลังศึกษาที่จะลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่ง SIAM สามารถเสนอโครงการต่อ JCM เพื่อรับเงินสนับสนุนสูงสุดถึง 50% ของเงินลงทุนแต่ละโครงการ
“SIAM กำลังศึกษาที่จะลงทุนโครงการโซลาร์เซลล์ และรวมถึงธุรกิจพลังงานทดแทนอื่นๆ เช่น ไบโอแมส หรือโรงไฟฟ้าชนิดต่างๆ ทั้งในไทย และประเทศอื่นๆ ในอาเซียน โดยมีเป้าหมายขายไฟฟ้าให้ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูง ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน เช่น กัมพูชา และพม่าที่ยังขาดแคลนพลังงาน” นายสุรพล กล่าว
นายสุรพล กล่าวเพิ่มเติมว่า โซลาร์รูฟท็อปที่จะนำมาติดตั้งในโรงงานของบริษัทนั้นเป็นแผงจาก Panasonic รุ่นที่มีประสิทธิภาพในการผลิตไฟได้สูงสุด 19.4% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดในโลก เทียบกับแผงที่ใช้กันทั่วไปขณะนี้เฉลี่ยทำได้เพียง 16% และแผงนี้มีการรับประกันเป็นเวลา 25 ปี หลังจากนั้น ยังมีประสิทธิภาพในการใช้งานได้อีก 80% เป็นเวลาหลายสิบปี จึงถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า