“ไพโอเนียร์ มอเตอร์” ฟันรายได้ไตรมาส 2 ปีนี้ 135 ล้านบาท โตเกือบ 9% ส่วนทั้งปีตั้งเป้าที่ 520-550 ล้านบาท ลั่นเดินหน้าขอมาตรฐาน UL บุกตลาดมอเตอร์แอร์สหรัฐฯ ดันสัดส่วนส่งออกปี 59 แตะ 30%
นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ประจำไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวม 135.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.01 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 8.87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 124.08 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6.77 ล้านบาท ลดลง 3.91 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 36.61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10.68 ล้านบาท
โดยในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจัดจำหน่ายให้ลูกค้ารายใหม่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้บริษัทฯ ได้เพิ่มกำลังการผลิตมอเตอร์จาก 60,000 ลูกต่อเดือน เป็น 80,000 ลูกต่อเดือน เพื่อรองรับยอดคำสั่งซื้อมอเตอร์สำหรับปั๊มน้ำเพิ่มเติมจากผู้ผลิตรายใหญ่เฉลี่ยเดือนละอีก 16,000 ลูก โดยในปัจจุบัน บริษัทฯ ใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยสูงกว่า 95% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ซึ่งหลังจากการเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว บริษัทฯ ได้เริ่มการส่งสินค้า และจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปีนี้เป็นต้นไป ทำให้ในปีนี้คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถสร้างรายได้ได้ราว 520-550 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนกว่า 10% ที่มีรายได้ 489 ล้านบาท
ในขณะที่กำไรสุทธิมีการปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพิเศษทั้งในด้านการขอมาตรฐานสหรัฐอเมริกา และค่าใช้จ่ายในการนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซี่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการขยายตลาดส่งออกไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดมอเตอร์เครื่องปรับอากาศในสหรัฐอเมริกาที่มีความต้องการใช้มอเตอร์สูงราว 10 ล้านลูกต่อปี โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการขอใบรับรองจัดการคุณภาพมาตรฐาน หรือ UL ของประเทศสหรัฐอเมริกาอีกจำนวนกว่า 40 รุ่น ต้องใช้งบลงทุนประมาณ 20-30 ล้านบาท
โดยจะประกาศผลในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2559 หากบริษัทฯ ผ่านมาตรฐานดังกล่าวจะส่งผลให้สามารถส่งออกมอเตอร์ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาได้ โดยก่อนหน้านี้ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้รับใบรับรองจัดการคุณภาพมาตรฐาน หรือ UL แล้วจำนวน 7 รุ่น โดยหลังจากการขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น เน้นประเทศสหรัฐฯ ยุโรป และซาอุดีอาระเบีย ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศในปี 59 แตะ 30% จากปีนี้อยู่ที่ประมาณ 20-25% และตั้งเป้ารายได้ 5 ปี (59-63) เติบโตเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า10%
“ในปีนี้เรามีการทำเรื่องขอใบ UL เพื่อส่งออกในสหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัทฯ จะต้องใช้เงินลงทุนในส่วนนี้ราว 20-30 ล้านบาท โดยจะเป็นการทยอยขอใบรับรองอีกกว่า 40 รุ่น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบบ้างต่อกำไรของบริษัทฯ แต่เป็นเพียงค่าใช้จ่ายพิเศษเพิ่มเติมเท่านั้น และที่สำคัญหลังจากเราได้รับใบ UL แล้ว และสามารถส่งออกในสหรัฐอเมริกาได้ จะทำให้ทั้งกำไร และรายได้ของบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า” นายวสันต์ กล่าว