ผู้จัดการตลาดหุ้นไทย หารือร่วมนายกสมาคมโบรกฯ สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน แม้ดัชนีหุ้นไทยดิ่งหนักกว่า 30 จุด เชื่อรัฐบาลสามารถแก้ใขสถานการณ์เลวร้ายได้อย่างรวดเร็วที่สุด แนะอย่าวิตกเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่กระทบ GDP ไทย เพราะต้องประเมินในระยะยาว
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่าขณะนี้ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่ได้กังวลต่อเหตุการณ์กรณีเกิดระเบิดขึ้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.วานนี้ (17 ส.ค.) มากนัก เนื่องจากเชื่อมั่นว่า ทางรัฐบาลจะสามารถแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วที่สุด ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการปรับตัวลงของดัชนี SET INDEX ที่ปรับตัวลดลงมากกว่า 28 จุด ในช่วงการซื้อขายภาคเช้าที่ผ่านมา โดยตลาดหลัทรัพย์ได้มีการเตรียมความพร้อม และหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อภาคตลาดทุนในการหามาตรการรองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และเพื่อหาแนวทางในการทำให้อุตสาหกรรมตลาดทุนเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนมาตรการพิเศษที่จะรองรับสถานการณ์ร้ายแรงยังไม่ได้มีการเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ใช้อยู่ เนื่องจากมาตรการที่มีอยู่เพียงพออยู่แล้ว
“แม้ว่าตอนนี้ดัชนีการซื้อขายหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงมาแล้วกว่า 28 จุด เมื่อปิดภาคเช้า ซึ่งจะต้องมีการติดตาม และประเมินสถานการณ์การซื้อขายอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคาดว่าจะกระทบบรรยากาศการลงทุน และหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวบริการเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ไม่กระทบการลงทุนในระยะกลาง-ยาว เนื่องจากต้องพิจารณาการประเมิน GDP ของประเทศควบคู่กันไปด้วย อีกทั้งผลตอบแทนของหุ้นไทยในปัจจุบันยังดีอยู่มากหากเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ”
นอกจากนี้ เชื่อว่านักลงทุนใช้หลักการของเหตุ และผลประกอบกับพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในการพิจารณาเลือกลงทุน โดยมองว่าราคาหุ้นจากพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันถือว่าไม่แพงมากเกินไป ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังมีการซื้อขายเป็นตามปกติ ไม่ได้มีการเทขายอย่างรุนแรงเทียบกับสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติปัจจุบันอยู่ที่ 32% ซึ่งเป็นระดับปกติในช่วงค่าเฉลี่ย 32-35% ขณะที่ปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันอยู่ที่กว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับปานกลางไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี อยากให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และใช้ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในประเทศมาเป็นปัจจัยหลักที่มาใช้ในการลงทุน ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะมีงานสัมมนาที่ตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับการประเมินข้อมูลเรื่องอัตราผลตอบแทนเงิน และการจ่ายเงินปันผล ซึ่งหุ้นไทยยังมีอัตราผลตอบแทน และจ่ายเงินปันผลที่ดีอยู่
“ทั้งนี้ ในส่วนของโผคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ทางนายกรัฐมนตรีเตรียมที่จะทูลเกล้าเพื่อพิจารณานั้น นางเกศรา กล่าวว่า ตนเองไม่ขอออกความเห็น เนื่องจากว่ายังไม่ได้โปรดเกล้าพิจารณาแต่งตั้ง ครม.ชุดใหม่ลงมา แต่เชื่อว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่น และผลักดันเศรษฐกิจ และตลาดทุนให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องได้”
ขณะที่ นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวว่า จากกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นที่แยกราชประสงค์ เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.วานนี้ (17 ส.ค.) ส่งผลทำให้การเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยช่วงเช้าเปิดตลาดปรับลดลงไปกว่า 30 จุด ส่วนตัวมองว่าน่าจะเป็นผลกระทบในช่วงสั้น และเป็นผลกระทบเฉพาะกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และบริการเท่านั้น
“กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม และบริการ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาก็จะกระทบต่อหุ้นในกลุ่มนี้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่นักลงทุนที่ลงทุนเฉพาะเจาะจงในหุ้นกลุ่มดังกล่าวไม่ได้มีการเทขายหุ้นออกมาทั้งหมดทั้งตลาด โดยยังมีนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ยังคงทำการซื้อ-ขายอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายที่มีทั้งแรงซื้อ แรงขาย แม้ว่าภาพรวมดัชนีจะมีความผันผวนในทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง”
อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังเปิดทำการปกติ ตลอดจนถึงสถาบันการเงินยังคงเปิดให้บริการตามปกติอยู่ น่าจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะมีการขายออกจากนักลงทุนต่างชาติทันทีที่เปิดตลาดที่มีแรงขายออกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการขายแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะมีความตกใจบ้างในช่วงสั้น ก็ไม่ได้ส่งผลทำให้ตลาดถึงกับต้องเป็นกังวลมากนัก
นอกจากนี้ ในส่วนของการเตรียมดำเนินงานในอนาคตของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แก่ งานไทยแลนด์โฟกัส ที่จะจัดขึ้นเร็วๆ นี้ มั่นใจว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเพิ่มขึ้น เชื่อว่าทุกอย่างจะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้
“แผนการรองรับสถานการณ์ก็มีการหารือกัน แต่ด้วยเหตุการณ์ไม่ได้มีความรุนแรงมากนัก และไม่ยืดเยื้อยาวนาน ทำให้ไม่ต้องมีแผนรองรับดังกล่าว แต่จะเป็นการสร้างความมั่นใจ ประเมินสถานการณ์ และให้ข้อมูลที่ดีที่สุดแก่นักลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แนะนักลงทุนควรมีสติ อย่าตกใจ ให้มองสถานการณ์ทั่วโลก โดยให้ทยอยสะสมซื้อ มองระยะยาวเป็นหลัก ที่น่าจะส่งผลดีในอนาคต ซึ่ง DBS มองว่าดัชนีปีนี้ถ้าปรับตัวยืนเหนือระดับ 1,450 จุดได้ น่าจะอยู่ระดับกลับเข้าสู่ Perform ที่ใช้ได้แล้ว”
อย่างไรก็ดี สำหรับผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ GDP มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ยาวนานเกินไป ซึ่งคาดว่ารัฐบาลสามารถสร้างความเชื่อมั่น และผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้เกิดขึ้นตามกรอบเวลาที่ได้ประกาศนโยบายเอาไว้ และหากไม่มีความรุนแรงรัฐบาลก็ต้องหาจุดที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อนให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปให้ได้ โดยสิ่งที่จะเข้ามาสร้างความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี คือ การปฏิรูปประเทศ ถ้าเกิดได้เร็วจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นอย่างมาก