“เกศรา มัญชุศรี” ปลื้มผลดำเนินงานตลาดหลักทรัพย์ช่วงครึ่งแรกของปี 58 ยังคงประสบความสำเร็จในการรักษาความโดดเด่นเหนือประเทศเพื่อนบ้านด้วยมูลค่าการซื้อขายต่อวัน 47,689 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายหุ้นไอพีโอจาก 16 บจ. มีมูลค่าทั้งสิ้น 108,424 ล้านบาท Historical PE และ Forwards PE ยังคงอยู่ในที่ระดับใกล้เคียงตลาดภูมิภาคคือ 20 เท่าและ 15 เท่า ตามลำดับ ขณะที่ยอดขายสุทธิสะสมต้นปี 58 ของต่างชาติมีทั้งสิ้น 34,853 ล้านบาท แต่ยังต่ำกว่ามูลค่าการซื้อสุทธิสะสมของนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ 38,448 ล้านบาท
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แถลงภาพรวมผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 2558 จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตลาดของไทยยังคงรักษาความโดดเด่นในภูมิภาคอาเซียนได้ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงสุดในตลาดภูมิภาคอาเซียนคืออยู่ที่ 47,698 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในไตรมาส 2/58 ซึ่งมีทั้งสิ้น 40,559 ล้านบาท แต่ยังต่ำกว่ามูลค่ารวมการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในไตรมาส 1/58 ซึ่งเคยมี 54,369 ล้านบาทด้านผลจากความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ กับบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมและธนาคารพาณิชย์นั้นทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถเพิ่มจำนวนผู้ลงทุนรายใหม่ในตลาดหุ้นได้อีก 63,863 ราย โดยยังต่ำกว่าเป้าหมายตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดที่ 95,000 คน รวมถึงในตลาดสำหรับผู้ซื้อขายตราสารอนุพันธ์อีก 4,750 รายซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 9,500 ราย ส่วนจำนวนการเปิดบัญชีลงทุนใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบัญชีในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ในครึ่งแรกของปีนี้จะมีทั้งสิ้น 91,285 บัญชีและ 5,708 บัญชีขณะที่มูลค่าราคาตลาดรวมจากมูลค่า 15 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าจดทะเบียนในช่วงครึ่งแรกของปี 58 นั้นมีรวมกันทั้งสิ้น 159,485 ล้านบาทจากเป้าหมายตลอดทั้งปีที่ตลาดฯ กำหนดไว้ที่ 250,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งนั้นมาจากการเข้าจดทะเบียนของหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น กองทุนโครงสร้างพื้นฐานบอรดแบรนด์อินเตอร์เน็ต จัสมิส (JASIF) และบมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC)รวมถึง การเข้าจดทะเบียนของบริษัทไทยที่มีธุรกิจหลักอยู่ในต่างประเทศ เช่น บมจ. พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้ง (PMTA) ทั้งยังผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนเข้าระดมทุนเพิ่มในตลาดได้ 136,062 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวนับเป็นการเพิ่มทุนจำนวนมากที่สุดในตลาดกลุ่มประเทศอาเซียนและยังสูงกว่าเป้าหมายที่หลักทรัพย์ไทยฯ ได้เคยประมาณการณ์ว่าจะมีทั้งสิ้น 130,000 ล้านบาทสำหรับปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของ TFEX ในรอบครึ่งแรกของปี 58 กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ บอกว่าจะมีทั้งสิ้น 192,878 สัญญา สูงกว่าเป้าหมายของตลาดที่เคยตั้งเป้าไว้ในปีนี้ว่าจะอยู่ที่ 190,000 สัญญาเนื่องมาจากจำนวนสัญญาซื้อขายที่เพิ่มขึ้นใน single stock futures และ SET50 index futures
นอกจากนี้เกศรายังได้ให้ข้อมูลภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ระหว่างไตรมาสแรกของปี 57 เทียบไตรมาสแรกของปี 58 ยังคงเติบโตอยู่ที่ 2% ทั้งนี้ หากเทียบอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิประมาณการณ์ล่วงหน้าโดยรวมทุกหมวดอุตสาหกรรม (ยกเว้นกลุ่มทรัพยากร) จะอยู่ที่ 8% อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 1/58 อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิฯ จะอยู่ที่ 10% ในขณะที่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสเดียวกันจะอยู่ที่ 3% ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในไตรมาส 1/58 (ไม่รวมกลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน) นั้นอยู่ที่ 1.29 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังบอกอีกว่าขณะที่ Historical PE และ Forwards PE ของตลาดหุ้นไทยนั้นจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคคือ 20 เท่าและ 15 เท่า ตามลำดับส่วนยอดการซื้อ-ขายสะสมสุทธิตั้งแต่ต้นปี 2558 แบ่งตามประเภทนักลงทุนนั้นแบ่งเป็น นักลงทุนต่างชาติจะเป็นผู้ขายสุทธิสะสม 34,853 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปในประเทศจะมียอดซื้อสะสม 3,321 ล้านบาท มูลค่าซื้อสุทธิสะสมของนักลงทุนสถาบันในประเทศจะอยู่ที่ 38,448 ล้านบาท และบริษัทหลักทรัพย์จะมียอดขายสุทธิสะสม 6,916 ล้านบาท
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แถลงภาพรวมผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 2558 จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตลาดของไทยยังคงรักษาความโดดเด่นในภูมิภาคอาเซียนได้ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงสุดในตลาดภูมิภาคอาเซียนคืออยู่ที่ 47,698 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในไตรมาส 2/58 ซึ่งมีทั้งสิ้น 40,559 ล้านบาท แต่ยังต่ำกว่ามูลค่ารวมการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในไตรมาส 1/58 ซึ่งเคยมี 54,369 ล้านบาทด้านผลจากความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ กับบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมและธนาคารพาณิชย์นั้นทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถเพิ่มจำนวนผู้ลงทุนรายใหม่ในตลาดหุ้นได้อีก 63,863 ราย โดยยังต่ำกว่าเป้าหมายตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดที่ 95,000 คน รวมถึงในตลาดสำหรับผู้ซื้อขายตราสารอนุพันธ์อีก 4,750 รายซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 9,500 ราย ส่วนจำนวนการเปิดบัญชีลงทุนใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบัญชีในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ในครึ่งแรกของปีนี้จะมีทั้งสิ้น 91,285 บัญชีและ 5,708 บัญชีขณะที่มูลค่าราคาตลาดรวมจากมูลค่า 15 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าจดทะเบียนในช่วงครึ่งแรกของปี 58 นั้นมีรวมกันทั้งสิ้น 159,485 ล้านบาทจากเป้าหมายตลอดทั้งปีที่ตลาดฯ กำหนดไว้ที่ 250,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งนั้นมาจากการเข้าจดทะเบียนของหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น กองทุนโครงสร้างพื้นฐานบอรดแบรนด์อินเตอร์เน็ต จัสมิส (JASIF) และบมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC)รวมถึง การเข้าจดทะเบียนของบริษัทไทยที่มีธุรกิจหลักอยู่ในต่างประเทศ เช่น บมจ. พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้ง (PMTA) ทั้งยังผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนเข้าระดมทุนเพิ่มในตลาดได้ 136,062 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวนับเป็นการเพิ่มทุนจำนวนมากที่สุดในตลาดกลุ่มประเทศอาเซียนและยังสูงกว่าเป้าหมายที่หลักทรัพย์ไทยฯ ได้เคยประมาณการณ์ว่าจะมีทั้งสิ้น 130,000 ล้านบาทสำหรับปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของ TFEX ในรอบครึ่งแรกของปี 58 กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ บอกว่าจะมีทั้งสิ้น 192,878 สัญญา สูงกว่าเป้าหมายของตลาดที่เคยตั้งเป้าไว้ในปีนี้ว่าจะอยู่ที่ 190,000 สัญญาเนื่องมาจากจำนวนสัญญาซื้อขายที่เพิ่มขึ้นใน single stock futures และ SET50 index futures
นอกจากนี้เกศรายังได้ให้ข้อมูลภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ระหว่างไตรมาสแรกของปี 57 เทียบไตรมาสแรกของปี 58 ยังคงเติบโตอยู่ที่ 2% ทั้งนี้ หากเทียบอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิประมาณการณ์ล่วงหน้าโดยรวมทุกหมวดอุตสาหกรรม (ยกเว้นกลุ่มทรัพยากร) จะอยู่ที่ 8% อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 1/58 อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิฯ จะอยู่ที่ 10% ในขณะที่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสเดียวกันจะอยู่ที่ 3% ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในไตรมาส 1/58 (ไม่รวมกลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน) นั้นอยู่ที่ 1.29 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังบอกอีกว่าขณะที่ Historical PE และ Forwards PE ของตลาดหุ้นไทยนั้นจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคคือ 20 เท่าและ 15 เท่า ตามลำดับส่วนยอดการซื้อ-ขายสะสมสุทธิตั้งแต่ต้นปี 2558 แบ่งตามประเภทนักลงทุนนั้นแบ่งเป็น นักลงทุนต่างชาติจะเป็นผู้ขายสุทธิสะสม 34,853 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปในประเทศจะมียอดซื้อสะสม 3,321 ล้านบาท มูลค่าซื้อสุทธิสะสมของนักลงทุนสถาบันในประเทศจะอยู่ที่ 38,448 ล้านบาท และบริษัทหลักทรัพย์จะมียอดขายสุทธิสะสม 6,916 ล้านบาท
